แบคทีเรียในช่องปาก ความเสี่ยงต่อการเกิดหินปูนในหลอดเลือดหัวใจ
ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยจำนวนมากที่พบความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพช่องปากกับโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะการที่แบคทีเรียในช่องปากอาจส่งผลต่อการเกิดหินปูนในหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจขาดเลือด
กลไกการเกิดหินปูนในหลอดเลือดหัวใจจากแบคทีเรีย
กลไกการเกิดโรคจากแบคทีเรียในช่องปากเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีหลายขั้นตอน แบคทีเรียในช่องปากสามารถเข้าสู่กระแสเลือดและกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดการปล่อยสารก่อการอักเสบต่าง ๆ เช่น IL-1, IL-6, TNF-α และ MCP-1 เข้าสู่กระแสเลือด สารเหล่านี้มีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดหลายประการ
การอักเสบในระบบที่เกิดขึ้นจากแบคทีเรียจากช่องปากสามารถกระตุ้นการอักเสบทั่วร่างกาย ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ผนังหลอดเลือด นอกจากนี้ การติดเชื้อในช่องปากยังสามารถส่งเสริมการสะสมของคอเลสเตอรอลในเซลล์แมโครฟาจภายในหลอดเลือด และส่งเสริมการเกิดเซลล์โฟม (Foam cells) ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการเกิดหินปูน อีกทั้งยังสามารถควบคุมระดับไขมันในพลาสมา ทำให้ระดับ LDL และไตรกลีเซอไรด์เพิ่มสูงขึ้น
จากการวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษาวิจัยครั้งใหญ่ที่รวบรวมจาก 63 การศึกษาซึ่งครอบคลุมผู้ป่วย 1,791 คน พบแบคทีเรียในช่องปาก 23 ชนิดที่มีอยู่ในหลอดเลือดที่เกิดหินปูน ข้อมูลสถิติเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างแบคทีเรียในช่องปากกับการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยสนับสนุนทฤษฎีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพช่องปากกับสุขภาพหัวใจ (Zhang, J., et al. (2024) และ Sharma, A., et al. (2016))
สายพันธุ์ของแบคทีเรียก่อโรค
แบคทีเรียกลุ่มหลักที่มีความสำคัญต่อการเกิดหินปูนในหลอดเลือดหัวใจมีหลายสายพันธุ์ที่มีบทบาทแตกต่างกัน แบคทีเรียที่สำคัญที่สุดในการก่อโรคโดยตรงคือ Streptococcus mutans และ Porphyromonas gingivalis ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในผู้ป่วยที่มีโรคปริทันต์และหินปูนในหลอดเลือด แบคทีเรียสายพันธุ์ Streptococcus mutans พบในลิ้นหัวใจและหลอดเลือดที่เกิดหินปูน เป็นสาเหตุหลักของฟันผุและอยู่ในไบโอฟิล์มบนผิวฟัน และอีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีความสำคัญคือ แบคทีเรีย Streptococcus sanguinis ซึ่งแม้จะไม่ใช่แบคทีเรียหลักที่พบในหลอดเลือดที่เกิดหินปูน แต่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อหลอดเลือด (Trimethylamine N-oxide) หรือ TMAO ซึ่งเป็นสารที่ส่งเสริมการเกิดหินปูนในหลอดเลือด
ประเภทอาหารที่เสี่ยงต่อการเกิดปัญหามีหลายกลุ่ม อาหารที่มีน้ำตาลสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักเนื่องจากส่งเสริมการเจริญของแบคทีเรียก่อฟันผุ โดยเฉพาะแบคทีเรียสายพันธุ์ Streptococcus mutans ที่ใช้น้ำตาลในการสร้างกรดและทำลายเนื้อฟัน นอกจากนี้ อาหารที่มีโคลีนและคาร์นิทีน ซึ่งพบมากในเนื้อสัตว์และไข่ มีกลไกเสี่ยงที่แตกต่างออกไป สารเหล่านี้สามารถถูกแปลงเป็น TMAO โดยแบคทีเรียสายพันธุ์ Streptococcus sanguinis ในช่องปาก และยังได้รับการสนับสนุนจากแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่ง TMAO นี้ช่วยเร่งการเกิดหินปูนในหลอดเลือด กระบวนการนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างการรับประทานอาหาร แบคทีเรียในช่องปากและสุขภาพหัวใจ
ปัจจัยทางพันธุกรรม
ปัจจัยทางพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการเกิดความเสี่ยงต่อทั้งโรคปริทันต์และโรคหัวใจและหลอดเลือด จากการวิจัยได้ระบุยีนที่เกี่ยวข้องกับทั้งการติดเชื้อในช่องปากและโรคหัวใจ ซึ่งประกอบด้วย CDKN2B-ASI (ANRIL), PLG, CAMTA/VAMP3, และ VAMP8 ยีนเหล่านี้อาจควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างโรคปริทันต์และโรคหัวใจและหลอดเลือดในฐานะยีนที่มีผลกระทบหลายทาง หรือที่เรียกว่า Pleiotropic genes (Aarabi, G., et al. (2017))
PHACTR1 เป็นอีกหนึ่งยีนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเกิดหินปูนในหลอดเลือด เนื่องจากได้รับการควบคุมโดยสิ่งกระตุ้นที่ก่อให้เกิดหินปูนในเซลล์แมโครฟาจและเซลล์ผนังหลอดเลือด การศึกษาแสดงให้เห็นว่ายีนนี้มีการแสดงออกในเซลล์แมโครฟาจของหลอดเลือดที่เกิดหินปูน เซลล์โฟมที่เต็มไปด้วยไขมัน เซลล์ Lymphocytes ในชั้น Adventitia และเซลล์ผนังหลอดเลือด (Miller, C. L., et al. (2016))
กลไกทางพันธุกรรมที่สำคัญคือการตอบสนองต่อการอักเสบที่ผิดปกติ ซึ่งถูกกำหนดบางส่วนโดยการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม อาจช่วยปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างโรคปริทันต์และโรคหัวใจและหลอดเลือด การวิจัยชี้ให้เห็นว่าโรคปริทันต์ไม่จำเป็นต้องเป็นสาเหตุโดยตรงของหินปูนในหลอดเลือด แต่ทั้งสองภาวะอาจเป็นผลมาจากกระบวนการอักเสบที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากยีนที่คล้ายกัน แนวคิดนี้เรียกว่า “Shared inflammatory pathways” ซึ่งอธิบายว่า ทั้งสองโรคมีรากฐานทางพันธุกรรมและกลไกการอักเสบที่คล้ายคลึงกัน
วิธีลดความเสี่ยงต่อการเกิดหินปูนในหลอดเลือดหัวใจ
การดูแลช่องปากพื้นฐานเป็นรากฐานสำคัญของการป้องกัน โดยควรแปรงฟันอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อวัน โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร การศึกษาพบว่า อัตราส่วนของการเกิดความดันโลหิตสูงลดลง 1.195 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่แปรงฟันไม่สม่ำเสมอ การแปรงฟันช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยลดภาระการอักเสบของระบบ (Moon, M. G., et al. (2023) และ Kim, J. H., et al. (2019))
การใช้ไหมขัดฟัน หรือไหมขัดฟันพลังน้ำ (Water flosser) เป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่ควรปฏิบัติอย่างน้อยวันละครั้งเพื่อขจัดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดหินปูน ช่วยทำความสะอาดบริเวณที่แปรงฟันเข้าไม่ถึง โดยเฉพาะบริเวณซอกฟันและขอบเหงือก ซึ่งเป็นบริเวณที่แบคทีเรียชอบสะสมตัว นอกจากนี้ การศึกษายังพบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากช่วยลดความเสี่ยงของการตายจากโรคหัวใจและหลอดเลือดลง 51% โดยควรเลือกน้ำยาที่มีสารต้านแบคทีเรียที่มีประสิทธิภาพ (Janket, S. J., et al. (2023))
การตรวจฟันทุก 6 เดือน ช่วยให้สามารถตรวจพบปัญหาในช่องปากในระยะเริ่มต้น การขูดหินปูนเป็นประจำช่วยขจัดแบคทีเรียที่สะสมตัวและไม่สามารถขจัดได้ด้วยการแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ การหยุดสูบบุหรี่เป็นสิ่งจำเป็นเนื่องจากสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญทั้งโรคเหงือกและโรคหัวใจ การควบคุมอาหารโดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และการดื่มน้ำให้เพียงพอ การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบในร่างกาย การจัดการโรคประจำตัว เช่นเบาหวานและความดันโลหิตสูงให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากโรคเหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงร่วมสำหรับทั้งโรคเหงือกและโรคหัวใจ
ที่มารูป : authoritydental