Clostridium Butyricum

คลอสตริเดียม บิวทิริคัม โพรไบโอติกส์ที่ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันและสร้างภาวะสมดุลในร่างกาย

คลอสตริเดียม บิวทิริคัม Clostridium Butyricum (C. butyricum) เป็นแบคทีเรีย Anaerobic ที่สามารถสร้างสปอร์ได้โดยไม่ใช้ออกซิเจน C. butyricum เป็นการตั้งชื่ออันเนื่องมาจากหน้าที่ในการผลิตบิวทิเรต โดยการหมักใยอาหารในลำไส้และสร้างกรดไขมันสายสั้น (SCFAs) เช่น บิวทิเรต อะซิเตท และโพรพิโอเนต

Clostridium เป็นกลุ่มแบคทีเรียที่โดยทั่วไปมักถูกมองว่าเป็นศัตรูของร่างกาย โดยเฉพาะสายพันธุ์ C. difficile, C. perfringens และ C. botulinum ซึ่งเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหารและระบบประสาท แบคทีเรียกลุ่ม Clostridium แบ่งเป็น 19 คลัสเตอร์ โดยมี คลัสเตอร์ XIVa (กลุ่ม C. coccoides) และคลัสเตอร์ IV (กลุ่ม C. leptum) ที่โดดเด่นในลำไส้ และเป็นประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพ รวมถึงบางสายพันธุ์ในคลัสเตอร์ I (C. butyricum) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 10-40 ของจุลินทรีย์ในลำไส้ ด้วยความรุนแรงในการก่อโรคของแบคทีเรียกลุ่ม Clostridium ทำให้สายพันธ์ุที่เป็นประโยชน์อย่าง C. butyricum มักจะถูกลืมว่าเป็น “Symbiont” ที่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสัมพันธ์กับโฮสต์ของมนุษย์ หมายความว่า “ร่างกายช่วยให้มันเติบโตอยู่รอด และมันก็ให้ประโยชน์แก่ร่างกาย”

Clostridium butyricum สร้างระบบภูมิคุ้มกัน

C. butyricum เป็นแบคทีเรียที่พบได้ทั่วไปในสิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่อยู่ในดินและระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ บทบาทของ C. butyricum มีศักยภาพต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ในฐานะผู้ผลิต SCFAs โดยเฉพาะ “บิวทิเรต” เป็นตัวหลักในการป้องกันการอักเสบและเสริมสร้างการทำงานของระบบภุมิคุ้มกัน นอกจากนี้ C. butyricum ยังกระตุ้นจุลินทรีย์อื่น ๆ ในลำไส้ที่ผลิต SCFAs อีกด้วย ซึ่ง SCFAs ที่ผลิตโดยจุลินทรีย์ในลำไส้นั้นเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อการมีสุขภาพดี เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานหลักของเซลล์เยื่อเมือกในลำไส้ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันการบุกรุกของเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะในร่างกาย มีผลในกระบวนการอักเสบ และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในลำไส้ C. butyricum ยังช่วยเสริมสร้างความหนาของชั้น Mucus layer (ด่านแรกในการป้องกันการบุกรุกของเชื้อโรค) โดยเพิ่มการแสดงออกของ MUC2 (ผลิตเมือกในทางเดินอาหาร) เพื่อป้องกันการซึมผ่านของเชื้อโรคในชั้นเยื่อบุลำไส้ และฟื้นฟูการทำงานของ Regulatory T cell หรือ Treg cell เพื่อรักษาสมดุลภูมิคุ้มกัน โดยกระตุ้นการหลั่ง IL-10 (ไซโตไคน์ต้านการอักเสบ) และยับยั้งการผลิตไซโตไคน์ที่ตอบสนองต่อการอักเสบ เช่น IFN-Y, IL-6 และ IL-17

นอกจากนี้ C. butyricum ยังมีบทบาทในการสนับสนุนระบบประสาทและสุขภาพจิตผ่านแกนลำไส้และสมอง (Gut-brain axis) ผ่านเส้นประสาทเวกัส (Vegus nerve) และยังได้รับความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ต่อความผิดปกติของการเผาผลาญ การเกิดโรคอ้วนและโรคเบาหวาน โดย SCFAs ที่ได้จากจุลินทรีย์นั้น กระตุ้นเส้นประสาท Vagal afferent ซึ่งเป็นวิถีการควบคุมการเผาผลาญพลังงานและสภาวะสมดุลของกลูโคส ส่วน บิวทิเรต เพิ่มการหลั่งฮอร์โมน GLP-1 ในกระเพาะอาหาร เปิดการใช้งานของ IRS-1/Akt pathway เพิ่มการตอบสนองของอินซูลิน เกิดการรักษาภาวะสมดุลของน้ำตาลในเลือดและลดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในโรคเบาหวาน ในขณะเดียวกัน ฮอร์โมน GLP-1 ยังช่วยทำให้มีความอยากอาหารลดลง ซึ่งเป็นผลดีในการรักษาน้ำหนักและโรคอ้วน จะเห็นได้ว่า บิวทิเรต และ SCFAs มีอิทธิพลต่อภาวะสมดุลต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่เพียงแต่ระบบภูมิคุ้มกัน

โพรไบโอติกส์ C. butyricum MIYAIRI (CBM588)

C. butyricum MIYAIRI 588 หรือ CBM 588 เป็นสายพันธ์ุที่แยกได้ครั้งแรกจากอุจจาระของมนุษย์ที่มีสุขภาพดี ในปี 1933 โดย Dr. Chikaji MIYAIRI และต่อมาใช้เป็นโพรไบโอติกส์ในประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และจีน มีฤทธิ์บรรเทาความรุนแรงของอาการท้องเสียที่เกิดยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) เช่น Clindamycin ที่ไปลดจำนวนจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในลำไส้ ทำให้ไม่เพียงพอต่อการยับยั้งเชื้อ C. difficile ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการท้องร่วง ในกลุ่มแบคทีเรียที่ผลิตบิวทิเรต มีเพียง C. butyricum ที่ใช้เป็นโพรไบโอติกส์ และได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในยุโรป เนื่องด้วยคุณสมบัติที่เป็นมิตรกับโฮสต์ (Symbiosis) ไม่ตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันตัวเอง สามารถเอาตัวรอดได้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่อำนวย มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และรักษาสุขภาพของลำไส้ แต่สำหรับการใช้เป็นโพรไบโอติกส์ในประเทศไทยนั้น ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

ถึงแม้ว่า ผลการศึกษาของ C. butyricum จะเป็นประโยชน์มากมาย แต่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนทางคลินิกคือ ช่วยบรรเทาอาการท้องเสียที่เกิดจากยาปฏิชีวนะ หรือจากเชื้อ C. difficile ส่วนผลลัพธ์ต่อระบบอื่น ๆ นั้น ยังไม่มีการศึกษาที่เพียงพอว่าเป็นผลจาก C. butyricum โดยตรง หรือเป็นผลจาก SCFAs อย่างไรก็ตาม สภาวะไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ (Dysbiosis) เป็นที่ชัดเจนว่าทำให้เกิด “ความเสียหายของลำไส้” ซึ่งส่งผลกระทบต่อความผิดปกของร่างกาย ไม่ว่าเป็นระบบทางเดินอาหาร ระบบประสาท ระบบเผาผลาญ รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุโรคมะเร็งลำไส้ นอกจาก C. butyricum จะผลิตบิวทิเรตแล้ว ยังช่วยปรับเปลี่ยนองค์ประกอบโดยเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์อย่าง Lactobacillus และ Bifidobacterium ที่เป็นพื้นฐานของโพรไบโอติกส์อีกด้วย สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ใยอาหาร (Fiber) ที่เป็นแหล่งอาหารหลักของแบคทีเรียในลำไส้เพื่อใช้ในการหมักเป็น SCFAs หรือกรดไขมันสายสั้นนั่นเอง

จะเห็นได้ว่า C. butyricum ได้รับความสนใจและมีการศีกษาถึงผลประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างกว้างขวาง นอกจากสายพันธุ์ MIYAIRI 588 ที่มีคุณสมบัติเป็นโพรไบโอติกส์แล้ว การศึกษาทางคลินิกอื่น ๆ ของ C. butyricum ในการรักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคทางระบบประสาท สุขภาพจิต และโรคทางเมทาบอลิก ยังคงมีการศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัย ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันนั้น คือ การเสริม C. butyricum ในการรักษาโรคที่กล่าวมาข้างต้น สร้างผลลัพธ์ต่ออาการของโรคที่ดีขึ้น ด้วยคุณสมบัติของบิวทิเรต และกรดไขมันสายสั้น เนื่องด้วย C. butyricum มีโอกาสที่จะทำให้เกิดอันตรายต่ำ จึงกลายเป็นประเด็นการศึกษาที่น่าสนใจในการนำมาปรับใช้ทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย

อย่างไรก็ตาม C. butyricum เกี่ยวข้องกับสภาวะสมดุลของภูมิคุ้มกัน ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในลำไส้ที่มากเกินไป สามารถย้อนกลับมาทำลายภูมิคุ้มกันตัวเองได้ และจุลินทรีย์บางสายพันธ์สามารถก่อโรคในทารกที่คลอดก่อนกำหนดได้ เพื่อความปลอดภัย ควรศึกษาถึงชนิด (Species) และสายพันธุ์ (Stains) ของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์และก่อให้เกิดโรค และไม่ควรมองข้ามการรับประทานผักผลไม้เพื่อให้ได้ใยอาหารที่เพียงพอต่อการทำงานของจุลินทรีย์ในลำไส้ นอกจากนี้ ความเครียดและการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ก็ส่งผลต่อความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ด้วยเช่นกัน

ที่มารูป : Harvard Medical School

Biomass power plant

รองศาสตราจารย์ ดร.ณกร อินทร์พยุง คณบดีคณะโลจิสติกส์ ม.บูรพา และประธานที่ปรึกษา กินอยู่ดี แพลตฟอร์ม (วิสาหกิจเพื่อสังคม) เข้าเยี่ยมชมโรงไฟฟ้าชีวมวล (Biomass power plant) ขนาด 9.6 เมกกะวัตต์ บริษัท กรีน พาวเวอร์ 2 ตำบลศาลาลำดวน อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว โดยผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเศษวัสดุต่าง ๆ ที่เป็นชีวมวล หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น จากเปลือกไม้ยูคาลิปตัส ไม้ผสม ทะลายปาล์ม ใยปาล์ม เหง้ามัน ใบอ้อย ฯลฯ Key Success Factors ของโรงไฟฟ้าชีวมวล ขึ้นอยู่กับการบริหารซัพพลายเชน ฝ่ายจัดหา/จัดซื้อวัตถุดิบที่เป็นชีวมวลหรือของเหลือทางการเกษตรฯ (Feed stock) ป้อนเข้าสู่โรงงาน ในปริมาณ 200 – 300 ตัน ต่อวัน เพื่อผลิตไฟ้ฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง 24/7 รวมทั้ง การบริหารส่วนต่างราคา (กำไร) ของ Feed stock ที่รวบรวมมาจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อให้ Stakeholders ในซัพพลายเชน ได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริหารต้นทุนการขนส่ง จากแหล่ง Feed stock เข้าสู่โรงงาน ซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการผลิตไฟฟ้า และส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทโดยตรง บริษัทฯ ได้จำหน่ายไฟฟ้าตามสัญญาการขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Very Small Power Producer (VSPP ขนาดต่ำกว่า 10 เมกะวัตต์), Feed-in Tariff (Fit) ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตลอดอายุสัญญา 15 ปี

Vitamin K

วิตามิน K มีความสำคัญที่มิใช่เพียงทำให้เลือดแข็งตัว

วิตามินเค (Vitamin K) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน และเป็นที่รู้จักในนาม วิตามินเพื่อการแข็งตัวของเลือด “Coagulation” จากการสังเคราะห์ Gla protein และจะถูกเก็บไว้ที่ตับ เพื่อช่วยคงการแข็งตัวของเลือดให้เป็นไปตามปกติ วิตามิน K ในธรรมชาติมี 2 ประเภท ได้แก่ วิตามิน K1 (Phylloquinone หรือ PK) พบในพืช  โดยเฉพาะผักใบเขียว เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด และเป็นประเภทของวิตามิน K ส่วนใหญ่ที่ร่างกายได้รับจากการรับประทานอาหาร และวิตามิน K2 (Menaquinone หรือ MK) สร้างโดยแบคทีเรียในลำไส้ เกี่ยวข้องกับสุขภาพกระดูกและหลอดเลือด มีความยาวของสายที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ MK-1 ถึง MK-13 ความยาวที่เพิ่มขึ้นสัมพันธ์กับการละลายในไขมันที่มากขึ้น และอยู่ในร่างกายได้นานขึ้น โดยรูปแบบที่ดีที่สุด คือ MK-7 และยังมีชนิดสังเคราะห์ทางเคมี Menadione (K3) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ K2 (ใช้สำหรับทางการแพทย์)สังเกตด้วยว่า นอกจาก Vitamin K จะเป็นกุญแจสำคัญในการแข็งตัวของเลือด ยังสัมพันธ์กับสุขภาพกระดูกและระบบหลอดเลือด จากการทำงานของ Vitamin K2 (MK) ร่วมกับ Vitamin D (D3)

สุขภาพกระดูก

Vitamin K2 (MK-7) กระตุ้นเซลล์สร้างกระดูก ให้มากกว่าเซลล์สลายกระดูก ในกระบวนการ Bone Remodeling (ซึ่งมีการสร้างและสลายกระดูกทดแทนกันตลอดเวลา) ทำให้สามารถป้องกันการสลายของกระดูกได้ นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับ Vitamin D เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก โดย Vitamin D ช่วยดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่หลอดเลือด และมี Vitamin K2 (MK-7) ทำหน้าที่ในการนำพาแคลเซียมที่อยู่ตามหลอดเลือดไปยัง Osteocalcin ไปยังกระดูก (Bone) เพื่อเพิ่มความแข็งแรง หาก Vitamin K2 ต่ำ จะทำให้กระดูกบาง และเกิดการแตกหักของกระดูกได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนและผู้สูงอายุ

สุขภาพหลอดเลือด

จากแคลเซียมที่ถูกดูดซึมโดย Vitamin D เข้าสู่หลอดเลือด (ซึ่งยังไม่ใช่ปลายทางของแคลเซียม) อาจเกิดการสร้างหินปูนเกาะตามผนังหลอดเลือดได้ (Calcium Vascular Calcification) และเป็นสาเหตุของหลอดเลือดแข็งตัว ทั้งนี้ Vitamin K2 (MK-7) จะทำหน้าที่ในการนำพาแคลเซียมจากผนังหลอดเลือดไปสะสมยังกระดูก (ซึ่งเป็นปลายทางของแคลเซียม) ทำให้หลอดเลือดสามารถลำเลียงเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ตามปกติ

จะเห็นได้ว่า Vitamin K2 และ Vitamin D3 สัมพันธ์โดยตรงต่อการเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือด การขาดวิตามินตัวใดตัวหนึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุนและภาวะหลอดเลือดแข็งตัวได้ เนื่องจากมีการทำงานร่วมกันอย่างตรงไปตรงมา นอกจากนี้ การศึกษาอื่น ๆ ยังชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับ Vitamin K จากคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ยกตัวอย่างเช่น

การป้องกันระบบประสาทและภาวะสมองเสื่อม

การศึกษาวิจัยระบุว่า การเพิ่มขึ้นของ Vitamin K1 สัมพันธ์กับ Vitamin K2 ที่มีส่วนช่วยในป้องกันการสะสมของแคลเซียมในหลอดเลือดสมอง และด้วยคุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันการตายของเซลล์จาก Beta-amyloid (โปรตีนที่ขัดขวางการส่งสัญญาณประสาท) และลดความเครียดของปฎิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidative stress) ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบของระบบประสาทและนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมได้

คุณสมบัติในการต้านมะเร็ง

Vitamin K2 โดยเฉพาะ MK-7 และ MK-9 มีส่วนช่วยในการยับยั้งการหลั่ง Cytokine ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบและเกี่ยวข้องกับการลุกลามของมะเร็ง โดยป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้ การศึกษาวิจัยเพิ่มเติมแสดงให้เห็นว่า การเสริม Vitamin K หลังการรักษายังช่วยให้โอกาสการกลับเป็นซ้ำของโรคลดลง ดังนั้นการให้ยาเคมีบำบัดร่วมกับ Vitamin K อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งได้

ตัวอย่างอาหารที่มี Vitamin K สูง

แหล่งอาหาร ปริมาณต่อ 100 กรัม (ไมโครกรัม)
ผักโขม 1710
นัตโตะ (Natto) 1103
ผักปวยเล้ง 483
คะน้า 390
กุยช่าย 213
กะหล่ำดาว 177
ผักกาดหอม 126
บร็อคโคลี 102
กะหล่ำปลี 59
ถั่วเหลือง 47
กิมจิ 44
อะโวคาโด 21

ข้อมูลอ้างอิง : UDSA https://fdc.nal.usda.gov/index.html

ถึงแม้ว่าอาหารที่รับประทานส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งของ Vitamin K1 แต่ใยอาหารในผักผลไม้นั้นเป็นอาหารของจุลินทรีย์ในลำไส้ (Probiotics) ซึ่งสังเคราะห์ Vitamin K2 ดังนั้น Vitamin K1 สามารถเปลี่ยนไปเป็น Vitamin K2 ได้ ตามค่าแนะนำ DRI (Daily Reference Intake) ควรบริโภค Vitamin K 80 ไมโครกรัมต่อวัน ซึ่งเพียงพอสำหรับการแข็งตัวของเลือดให้เป็นไปตามปกติ แต่สำหรับสุขภาพกระดูกและหลอดเลือดนั้น แนะนำให้บริโภค 200 ไมโครกรัม ร่วมกับ Vitamin D 1,000 IU หรือ 25 ไมโครกรัมต่อวัน

Vitamin K มีส่วนสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในกระบวนการแข็งตัวของเลือด ความแข็งแรงของกระดูก และสุขภาพหลอดเลือดอย่างชัดเจน ซึ่งไม่เกี่ยวกับการก่อให้เกิดลิ่มเลือด ส่วนประโยชน์ทางระบบประสาทและการต้านมะเร็งนั้น มีเพียงการศึกษาจำนวนน้อยและยังไม่มีการระบุผลที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในงานวิจัยในสัตว์ทดลองนั้น Vitamin K มีส่วนช่วยในการพัฒนาระบบประสาทและมะเร็งได้ และอันตรายจากอาหารเสริม Vitamin K นั้นค่อนข้างต่ำ แต่สิ่งที่ควรระวังคือ ผู้ป่วยที่ได้รับยา Warfarin (ยาต้านการแข็งตัวของเลือด) ซึ่งจะทำงานตรงข้ามกัน ปริมาณ Vitamin K ที่สูง และจะรบกวนการออกฤทธิ์ของยา Warfarin ได้ ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องงดหรือหลีกเลี่ยงอาหารที่มี Vitamin K แต่อย่างใด สารอาหารอื่น ๆ จากผักใบเขียวนั้นยังจำเป็นต่อร่างกาย เพียงแค่ควรรับประทานอาหารเหล่านี้ในปริมาณที่ใกล้เคียงกันทุกวัน และไม่ปรับขนาดยา Warfarin ด้วยตนเอง

Commodity trading

ทีมงาน กินอยู่ดี แพลตฟอร์ม ได้รับเชิญจาก หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมเป็นวิทยากรอบรมเชิงปฏิบัติการสำหรับผู้บริหาร P1 Academy การจำลองการทำการค้าระหว่างประเทศและบริหารจัดการโซ่อุปทานน้ำมัน (Trading and supply chain simulation) ผู้เข้าอบรบ จะถูกแบ่งเป็นกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ส่งออกน้ำมัน (Producer) กลุ่มโรงกลั่น (Refinery) กลุ่มลูกค้าหรือผู้ใช้น้ำมันสำเร็จรูป (อาทิ ผู้ค้าปลีกน้ำมัน สายการบิน โรงงานผลิต ฯลฯ) และตลาดกลางซื้อขายน้ำมันดิบ (ICE) ซึ่งใช้ Robot trade ที่ถูกสร้างขึ้นมา การอบรมเชิงปฎิบัติการ จะใช้ระยะเวลา 2 วัน ผู้อบรมจะได้เรียนรู้ทฤษฎีและทักษะเชิงปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านการบริหารความเสี่ยงด้านราคาน้ำมันดิบ (Commodity price hedging) ภายใต้สถานการณ์ที่แตกต่างกัน ผ่านแพลตฟอร์มจำลอง Trading simulation game

Sorghum BCG

รองศาสตราจารย์ ดร. ณกร อินทร์พยุง คณบดีคณะโลจิสติกส์ ม.บูรพา และประธานที่ปรึกษา กินอยู่ดี แพลตฟอร์ม (วิสาหกิจเพื่อสังคม) ขับเคลื่อนโครงการสำคัญ “ต้นแบบโมเดลเศรษฐกิจ BCG ข้าวฟ่าง สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร พลังงานหมุนเวียนโรงไฟฟ้าไบโอก๊าซ และเอทานอล กลับคืนสู่ปุ๋ยชีวภาพ” ซึ่งเป็นแนวคิดการประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยใช้ ข้าวฟ่าง เป็นต้นแบบ ซึ่งจะช่วยปลูกฝังแนวคิดเศรษฐกิจ BCG และนำไปขยายผล หรือปรับประยุกต์ใช้ให้เข้ากับบริบทของพื้นที่และชุมชน เพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรกร อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ได้ความอนุเคราะห์จาก บริษัท เอี่ยมบูรพา จำกัด อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว ผู้ผลิตแป้งมันสำปะหลังรายใหญ่ของประเทศ ซึ่งมีพื้นที่โรงงานและเกษตรครบวงจรกว่า 3 พันไร่ อนุญาตให้เข้าเยี่ยมชมกระบวนการผลิตก๊าซชีวภาพ (Biogas) และไฟฟ้าจากของเหลือทิ้งจากการผลิตฯ รวมทั้ง โรงงานต้นแบบผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลัง

“ข้าวฟ่าง” พืชท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูง ในการเพาะปลูกในพื้นที่แห้งแล้ง ต้องการน้ำน้อย ทนต่อสภาพแวดล้อม (เช่น พื้นที่ดินส่วนใหญ่ในจังหวัดสระแก้ว) และให้ผลผลิตต่อไรสูง การจัดการห่วงโซ่คุณค่าของพืช ข้าวฟ่าง เริ่มจากกระบวนการเพาะปลูกและแปรแปรรูปเมล็ดข้าวฟ่าง สู่ผลิตภัณฑ์อัตตาลักษณ์ท้องถิ่น อาทิเช่น มอลต์ข้าวฟ่าง (Sorghum malt) และเครื่องดื่มสันทนาการ ปราศจากกลูเตน (Gluten free) จากนั้น ใช้ส่วนของลำต้น สร้างธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ไบโอเอทานอล และไฟฟ้าจากก๊าชชีวภาพที่เกิดจากกระบวนการหมักลำต้นที่เหลือทิ้งจากการแปรรูปแล้ว และกากที่เหลือจากกระบวนการผลิตก๊าซชีวภาพ สามารถนำไปใช้เป็นสารปรับปรุงดิน (ปุ๋ยชีวภาพ)

Healthcare supply chain

รองศาสตราจารย์ ดร.ณกร อินทร์พยุง คณบดีคณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา และประธานที่ปรึกษา กินอยู่ดี แพลตฟอร์มม (วิสาหกิจเพื่อสังคม) เข้าร่วมแถลงข่าวความร่วมมือ การจัดตั้งเครือข่ายนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการแพทย์และสาธารณสุข ระหว่างหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. มหาวิทยาลัย 8 แห่ง และภาคเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งมีกิจกรรมที่จะดำเนินการร่วมกัน ได้แก่ 1) แลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญฯ 2) พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนและหลักสูตรฝึกอบรม 3) ถ่ายทอดนวัตกรรมและเทคโนโลยี ให้กับโรงพยาบาล สถานพยาบาล และภาคอุตสาหกรรม และ 4) จัดประชุมสัมนา และดำเนินกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ภายใต้ความร่วมมือฯ จะช่วยส่งเสริมงานวิจัยและนวัตกรรมด้านสุขภาพดิจิทัล อาทิเช่น วิทยาศาสตร์ข้อมูลสุขภาพ เทคโนโลยีบล็อกเชนและสัญญาอัจฉริยะ ระบบปัญญาประดิษฐ์ช่วยในการวิเคราะห์และคัดกรองโรค “กินอยู่ดี แพลตฟอร์ม” สำหรับส่งเสริมสุขภาพพนักงานในองค์กร และงานวิจัยด้านการจัดการโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ในอุตสาหกรรมสุขภาพ ซึ่งอุตสาหกรรมสุขภาพ เป็นหนึ่งใน “เมกะเทรนด์”

EV and autonomous

คุณพนัส วัฒนชัย CEO บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด และรองศาสตราจารย์ ดร.ณกร อินทร์พยุง คณบดีคณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา และประธานที่ปรึกษาและผู้ร่วมก่อตั้ง กินอยู่ดี แพลตฟอร์ม ลงนามในบันทึกความร่วมมือ โครงการออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์ม (Platform) ยานยนต์สมัยใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มยานยนต์สมัยใหม่ อาทิ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (e-Scooter) รถบรรทุกไฟฟ้าเพื่อการขนส่ง และยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ 2) ใช้พื้นที่ของบริษัทฯ ในการพัฒนาและทดสอบยานยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนอัตโนมัติต้นแบบ และ 3) ร่วมกันเปิดศูนย์ EV and Autonomous Vehicle Training Center เพื่อสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนหรือถ่ายทอดองค์ความรู้ระหว่างกันเพื่อพัฒนาบุคลากรให้สามารถแข่งขันได้ในอุตสาหกรรม

โดยในความร่วมมือ จะนำร่องโครงการ Retrofit และ Conversion ดัดแปลงรถยนต์พลังงานสันดาป รวมทั้งยานยนต์ไฟฟ้า ให้เป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ เพื่อนำมาใช้ในสนามบิน และรถบรรทุกหัวลาก (Autonomous truck) สำหรับใช้งานในท่าเรือและเทอร์มินัล รวมทั้ง โครงการพัฒนาแพลตฟอร์ม Shared mobility และ Mobility as a Service (MaaS) สำหรับ e-Scooter และรถยนต์ EV ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมในด้านการเดินทางแห่งอนาคต (Future mobility)

#PunusDrive #BUULOG #aDrive

Calories distribution

อาหารที่มีแคลอรี่เท่ากัน ส่งผลกระทบต่อร่างกายต่างกัน และแหล่งพลังงานของอาหารที่แตกต่างกัน ก็ส่งผลต่อการนำไปใช้ของร่างกายไม่เหมือนกัน

ความท้าทายในการลดหรือรักษาน้ำหนักที่มีมาอย่างยาวนาน และเพิ่มขึ้นในยุคสมัยปัจจุบัน ในขณะที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจกับการลดน้ำหนักมากขึ้น ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเมทาบอลิก (Metabolic syndrome) ก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เสมือนว่า “ยิ่งพยายาม ยิ่งล้มเหลว” บ่อยครั้งที่ความพยายามของหลายต่อหลายคนไม่ประสบผลสำเร็จ หรือเป็นผลเพียงระยะสั้น ๆ และส่วนน้อยมากที่จะรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ได้ หรือจะเป็นไปได้ว่าความพยายามเหล่านี้ เกิดจากความผิดพลาดหรือความเข้าใจผิดของวิธีการ ทำให้ไม่เป็นผลต่อการเปลี่ยนน้ำหนักตัวที่มีประสิทธิภาพ

หลายคนสงสัยว่า ทำไม “ทานอาหารเท่าเดิม แต่น้ำหนักเพิ่มขึ้น” หรือ “ทานน้อยกว่าเดิม แต่น้ำหนักก็ไม่ลดลง บ้างก็มากกว่าเดิม” โดยตามหลัก “Calories in – Calories out” หรือ “Energy balance” การจำกัดพลังงาน การจำกัดเวลารับประทาน (Intermittent Fasting : IF) และรูปแบบอื่น ๆ ล้วนมีผลการเปลี่ยนแปลง แต่มักเป็นผลเพียงระยะเวลาสั้น ๆ แน่นอนว่าน้ำหนักที่ลดลงคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่เป้าหมายที่มากกว่า คือ รูปร่างที่ดีและสมส่วนที่คงอยู่ยาวนานอย่างมีประสิทธิภาพ

ประสิทธิภาพในการลดและรักษาน้ำหนัก เพียงแค่จำกัดแคลอรี่ จริงหรือ ?

    • พลังงานที่ได้รับ >   พลังงานที่ใช้   =   น้ำหนักเพิ่มขึ้น
    • พลังงานที่ได้รับ <   พลังงานที่ใช้   =   น้ำหนักลดลง
    • พลังงานที่ได้รับ =   พลังงานที่ใช้   =   น้ำหนักคงที่

สารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ซึ่งเป็นสารอาหารหลักที่ส่งผลกระทบต่อน้ำหนักตัว และยังคงอาศัยตัวช่วยจากวิตามินและเกลือแร่ ตามหลัก “Energy balance” หลายคนมีความเข้าใจว่า การจำกัดพลังงานที่ได้รับให้น้อยกว่าพลังงานที่ใช้ก็เพียงพอต่อการลดน้ำหนักได้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงแหล่งของสารอาหารนั้น ๆ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องเพียงส่วนหนึ่ง ในความเป็นจริงแล้ว ถึงแม้ว่าพลังงานจะเท่ากัน แต่ร่างกายนำไปใช้ต่างกัน (ปฏิกิริยาร่างกาย) ขึ้นอยู่กับแหล่งของสารอาหาร ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักตัวและเกิดประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบสัดส่วนร่างกาย ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญต่อการพัฒนาโรคทางเมทาบอลิก

แนวทางและวิธีการลดน้ำหนักได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก  โดยเฉพาะด้านโภชนาการ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักและมีการพูดถึงอย่างแพร่หลาย แต่ความเข้าใจผิดด้านโภชนาการของผู้บริโภคนั้นยังคงมากมาย แน่นอนว่าการจำกัดพลังงาน เป็นพื้นฐานของน้ำหนักตัวที่ลดลง แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือ “แหล่งของสารอาหาร” และ “สัดส่วนการกระจายพลังงาน (Energy distribution)” ส่งผลกระทบต่อกระบวนการทำงานของร่างกาย

ความหนาแน่นของสารอาหาร (Nutrient density) : อาหารที่มีแคลอรี่เท่ากัน แต่ความหนาแน่นของสารอาหารต่างกัน ผักและผลไม้ 100 แคลอรี่ ให้สารอาหารมากกว่าอาหารสำเร็จรูปที่มี 100 แคลอรี่เท่ากัน โดยเฉพาะวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร

การเผาผลาญ (Metabolic effect) : ร่างกายใช้พลังงานในการย่อยและดูดซึมสารอาหารแตกต่างกัน โดยใช้กับโปรตีน 20-30% คาร์โบไฮเดรต 5-10% และไขมัน 0-3% หากร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรตและไขมันมากเกินไป ส่วนที่ย่อยไม่หมดจะเกิดการสะสมในรูปไขมันตามร่างกาย ส่งผลต่อน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น

ค่าดัชนีน้ำตาล (GI) : อาหารที่มีค่า GI ต่ำมักเป็นกลุ่มที่มีใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช ช่วยรักษาความไวของอินซูลิน ลดการตอบสนองต่อน้ำตาลในเลือด ส่งผลต่อความหิวที่ลดลง

ชนิดของไขมัน : ถึงแม้ว่าไขมันอิ่มตัวและไขมันไม่อิ่มตัวจะให้พลังงานเท่ากัน แต่การนำไปใช้ต่างกัน ไขมันไม่อิ่มตัวมีโครงสร้างที่หละหลวม ย่อยได้ง่าย ไม่เกิดสารสะสมในร่างกาย ลดขนาดเซลล์ไขมัน  อีกทั้งเป็นแหล่งของโอเมก้า โดยเฉพาะโอเมก้า-3 ซึ่งมีคุณสมบัติลดการอักเสบที่เกิดจากกระบวนการต่างๆในร่างกาย และยังลดการดื้อต่ออินซูลิน

โปรตีนไขมันต่ำ : โปรตีนที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วนพบในเนื้อสัตว์เป็นหลัก ซึ่งมีไขมันร่วมด้วย ดังนั้นควรเลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดหนัง ไม่ติดมัน หรือแหล่งโปรตีนจากพืชที่หลากหลายเพื่อคงความครบถ้วนของกรดอะมิโนจำเป็น เสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ เพิ่มการเผาผลาญพลังงานร่างกาย (ร่างกายใช้พลังงานได้มากขึ้น)

ความอิ่ม : แคลอรี่ที่เท่ากัน ให้ความอิ่มที่ต่างกัน อาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนและใยอาหารใช้พลังงานและเวลาในการย่อยและดูดซึมมากกว่าคาร์โบไฮเดรตและไขมัน ทำให้ความอิ่มได้นานกว่า ส่งผลต่อการบริโภคพลังงานลดลง

ผลต่อสุขภาพระยะยาว : ความหลากหลายของสารอาหารในอาหารที่มีแคลอรี่เท่ากัน โดยเฉพาะวิตามินและเกลือแร่ เป็นตัวช่วยในการซ่อมแซมและรักษาสุขภาพโดยรวม

นอกจากนี้ ผลวิจัยแสดงถึงผลการกระจายสัดส่วนพลังงาน การลดสัดส่วนคาร์โบไฮเดรต และเพิ่มสัดส่วนโปรตีนในอาหารที่มีไขมันเท่ากัน เป็นผลต่อการลดน้ำหนักตัวและมวลไขมัน (โดยเฉพาะมวลไขมันในช่องท้อง) ได้มากกว่า (คาร์โบไฮเดรต 40% โปรตีน 30% และไขมัน 30%) โดยยังคงใส่ใจถึงแหล่งของสารอาหาร คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ใยอาหารสูง โปรตีนไขมันต่ำ และไขมันไม่อิ่มตัว นอกจากน้ำหนักตัวที่ลดลง ยังเป็นประสิทธิภาพในการรักษาน้ำหนักตัวระยะยาวอีกด้วย อีกทั้งยังลดและป้องกันการเกิดกลุ่มอาการเมทาบอลิก เช่น ลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด ลดความดัน เพิ่ม HDL การทำงานของหัวใจดีขึ้น รวมถึงประสิทธิภาพในการควบคุมฮอร์โมนหิว-อิ่ม (Ghrelin-Leptin) อย่างไรก็ตาม การบริโภคโปรตีนที่สูงเกินไป (>2.5 กรัม/น้ำหนักตัว) อาจเพิ่มการทำงานของไตในคนที่มีสุขภาพดีได้ และไม่แนะนำสำหรับผู้ที่มีค่าไตถดถอย เช่นเดียวกับคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำเกินไป (น้อยกว่า 40%) เป็นผลข้างเคียงต่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ อ่อนเพลีย หน้ามืด ปวดศีรษะ หรืออาจหมดสติได้ ไม่แนะนำในผู้ที่เป็นเบาหวาน

โดยสรุป การลดและรักษาน้ำหนักที่มีประสิทธภาพ ไม่เพียงแต่จำกัดแคลอรี่เพียงอย่างเดียว สิ่งที่สำคัญกว่าคือแหล่งที่ได้มาซึ่งสารอาหาร เนื่องจากร่างกายมีกระบวนการนำไปใช้ไม่เหมือนกัน ส่งผลต่อน้ำหนักตัวลดลงต่างกัน และยังเป็นส่งผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาว ความไวในการลดน้ำหนักไม่ใช่ตัวชี้วัดของสุขภาพที่ดี การลดน้ำหนักที่เหมาะสม คือ 0.5-1 กิโลกรัม/สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม อาหารไม่ใช่ปัจจัยเดียวสำหรับการลดน้ำหนัก การออกกำลังกาย และการพักผ่อนก็เป็นส่วนสำคัญในการใช้พลังงานและซ่อมแซมระบบการเผาผลาญของร่างกายด้วย

ที่มารูป : lanermc

Meal-frequency

Should I be eating every few hours?

ควรกินบ่อย ทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง หรือกินแค่ 1-2 มื้อต่อวัน ถึงจะส่งต่อสุขภาพดีและลดน้ำหนักได้มากกว่ากัน ? อาหารเป็นแหล่งพลังงานของร่างกายและสำคัญต่อสุขภาพ อาหารที่ดีอุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน นอกจากสารอาหารครบ 5 หมู่ จังหวะเวลา (Meal time) และจำนวนมื้ออาหาร (Meal frequency) ก็มีความสำคัญต่อสุขภาพเช่นกัน เนื่องจากการอดอาหารมากกว่า 4 ชั่วโมง ระบบเผาผลาญของร่างกายจะลดลง 30% ซึ่งเป็นกลไกการป้องกันตัวเองจากการอดอาหาร และเป็นเหตุผลว่า การรับประทานอาหารมื้อเช้า หลังตื่นนอนประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง จึงเป็นสิ่งสำคัญ และส่งผลช่วยในการลดน้ำหนัก

ร่างกายมีวงจรระบบการทำงานที่เรียกว่า Biological clock หรือ “นาฬิกาชีวภาพ”ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น การหลับ-ตื่น การหลั่งฮอร์โมน การเผาผลาญ และระบบภูมิคุ้มกัน โดยมีปัจจัยที่สำคัญคือ “แสงสว่าง” ที่ส่งผ่านทางจอประสาทตา เข้าสู่สมอง และกระจายไปยังระบบต่าง ๆ ของร่างกาย หากพฤติกรรมการใช้ชีวิต (เช่น การบริโภคอาหาร และกิจกรรมทางกาย) สวนทางกับ นาฬิกาชีวภาพนี้ จะส่งผลต่อความผิดปกติและมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคอ้วน และโรคเบาหวาน หรือกลุ่มอาการเมตาบอลิก ซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบเผาผลาญ ดังนั้น การรับประทานอาหารจำเป็นต้องสอดคล้องกับนาฬิกาชีวภาพของร่างกายด้วยเช่นกัน

แล้วเราควรกินอาหารกี่มื้อต่อวัน? ถึงจะส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดี

การรับประทานอาหารตามปกติเป็นที่เข้าใจกัน คือ  3 มื้อต่อวัน แต่ยังคงมีข้อโต้แย้งที่เกี่ยวกับเวลา และจำนวนมื้ออาหารที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการทำ IF (Intermittent Fasting) การแบ่งย่อยมื้ออาหาร (มากกว่า 3 มื้อต่อวัน) เป็นต้น ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมของร่างกายแต่ละบุคคล ผลการวิจัยจำนวนหนึ่งสนับสนุนการแบ่งย่อยมื้ออาหารจำนวนหลาย ๆ มื้อต่อวัน เนื่องจากจะช่วยกระจายพลังงาน ลดปริมาณอาหารมื้อใหญ่ กระตุ้นการเผาผลาญได้มากกว่า และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สม่ำเสมอโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน อย่างไรก็ตาม งานวิจัยบางส่วนกล่าวว่า การรับประทานอาหาร 1-2 มื้อ หรือ 3 มื้อ หรือมากกว่า 3 มื้อต่อวัน ก็สามารถทำได้ ไม่ได้มีความแตกต่างในด้านประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงคือปริมาณพลังงานและสารอาหารที่ควรได้รับต่อวัน

นอกจากนี้ ตามวงจรนาฬิกาชีวภาพแสดงให้เห็นว่า ไม่ควรอดอาหารมื้อเช้า (7.00-9.00 น.) ซึ่งเป็นอาหารมื้อสำคัญ ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญของร่างกายที่อดอาหารจากการนอนหลับตลอดคืน เป็นช่วงเวลาการทำงานของกระเพาะอาหาร และควรเป็นมื้ออาหารที่ประกอบด้วยโปรตีนเป็นหลัก (20 – 30 กรัม) มีผลการวิจัยว่า การรับประทานอาหารมื้อเช้าจะช่วยเพิ่มการทำงานของอินซูลิน ลดระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมความดันโลหิต เพิ่มการหลั่ง Growth hormone และลดความชุกต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ในทางตรงกันข้าม การข้ามอาหารมื้อเช้ามีผลต่อน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นและการดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งสัมพันธ์กับโรคอ้วนทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากความเสื่อมของระบบเผาผลาญ อีกทั้งส่งผลต่อการเกิดปัญหาด้านสุขภาพจิต

เพื่อให้วงจรนาฬิกาชีวภาพทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราควรมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่สอดคล้องกัน ร่างกายมีช่วงเวลาใช้พลังงานในตอนกลางวัน และจะใช้พลังงานลดลงในตอนกลางคืนเพื่อสู่การพักผ่อนและกระบวนการซ่อมแซมร่างกาย เกี่ยวกับการทำงานของฮอร์โมนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารแบบ IF หรือ 1 มื้อ หรือหลายมื้อต่อวัน ก็ควรเริ่มทานมื้อแรกหลังตื่นประมาณ 1-2 ชั่วโมง (ไม่เกิน 9.00 น.) และงดอาหาร 2-3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน

โดยสรุป จำนวนมื้ออาหารต่อวันไม่มีความแตกต่างในด้านประโยชน์ต่อสุขภาพและการเกิดกลุ่มอาการเมตาบอลิก อย่างไรก็ตาม การแบ่งย่อยมื้ออาหารจำนวนหลาย ๆ มื้อต่อวัน จะมีประโยชน์กับกลุ่มบุคคล เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน และผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ที่ต้องการกระจายพลังงานและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สม่ำเสมอ และช่วยกระตุ้นการเผาผลาญได้มากกว่า การรับประทานอาหารในช่วงเวลาที่สอดคล้องกับนาฬิกาชีวภาพ (ทานช่วงเวลากลางวัน) และการรับประทานอาหารมื้อเช้าที่มีโปรตีนสูง 20 – 30 กรัม จะช่วยป้องกันการเกิดกลุ่มอาการเมตาบอลิก และส่งผลช่วยในการลดน้ำหนัก

Personalized-vitamin

วิตามินเฉพาะบุคคลและวิตามินบำบัด – นอกจากสารอาหารหลัก คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ที่เป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย ยังมีสารอาหารรอง “วิตามินและเกลือแร่” ที่สำคัญต่อการทำงานของทุกระบบในร่างกายให้เป็นไปตามปกติ ถึงแม้จะเป็นสารอาหารที่ไม่ได้ให้พลังงานและร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อยแต่ก็ขาดไม่ได้ มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการทำงานของเซลล์และการป้องกันโรค การได้รับวิตามินและเกลือแร่หรือแร่ธาตุที่ไม่เพียงพอเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่าง ๆ เช่น ระบบการเผาผลาญพลังงาน ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทและสมอง ระบบผิวหนัง และระบบกระดูก เป็นต้น ซึ่งเป็นผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายที่แตกต่างกัน และอาจนำไปสู่การเกิดโรคเรื้อรังได้ วิตามินส่วนใหญ่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหารที่เพียงพอเพื่อสนับสนุนการทำงานของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ

วิตามินแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือ กลุ่มวิตามินที่ละลายในน้ำ และกลุ่มวิตามินที่ละลายในไขมัน ความสมดุลของวิตามินทั้งสองกลุ่มสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม

วิตามินที่ละลายในน้ำ

    • ได้แก่ วิตามิน C และกลุ่มวิตามิน B
    • ขับออกทางปัสสาวะ ไม่สามารถสะสมในร่างกายได้
    • จำเป็นต้องได้รับอย่างต่อเนื่อง
    • เป็นพิษต่อร่างกายน้อย
    • ทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ในกระบวนการทางเคมีซึ่งเกิดขึ้นภายในเซลล์

วิตามินที่ละลายในไขมัน

    • ได้แก่ วิตามิน A, D, E และ K
    • เก็บสะสมที่ตับและเนื้อเยื่อไขมัน
    • สะสมในร่างกายได้ 2-10 เดือน
    • อาจไม่ได้รับทุกวันก็ได้
    • ปริมาณที่มากเกินไปจะเป็นพิษต่อร่างกาย
    • มีบทบาทสำคัญทางสรีรวิทยา เช่น การมองเห็น กระดูก ภูมิคุ้มกัน การแแข็งตัวของเลือด เป็นต้น

พฤติกรรมการใช้ชีวิตและสภาพแวดล้อมในปัจจุบันส่งผลต่อการเข้าถึงสารอาหารต่ำร่วมกับปัจจัยทำลายต่าง ๆ เช่น แสงแดด ความเครียด มลพิษ การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ และโรคประจำตัว ทำให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุไม่เพียงพอ ความนิยมในการบริโภควิตามินเสริมจึงมีบทบาทสำคัญสำหรับการดูแลสุขภาพ หลายคนเลือกรับประทานตามความเชื่อ บ้างก็ทานตามคนรอบข้าง แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่ต่างกัน บ้างก็ไม่เป็นผล นั่นก็เพราะความแตกต่างของแต่ละบุคคล วิตามินชนิดเดียวกันอาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นสภาวะร่างกาย เพศ อายุ น้ำหนัก พฤติกรรมการใช้ชีวิต พฤติกรรมบริโภคอาหาร รวมถึงปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นปัจจัยที่แตกต่างในแต่ละบุคคลที่แปรผันต่อความต้องการวิตามินที่ไม่เหมือนกัน การได้รับวิตามินที่ตรงตามความต้องการของร่างกายจะช่วยป้องกันปัญหาการขาดหรือเกินได้ และการได้รับวิตามินบางตัวที่มากเกินไปก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด และอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะกลุ่มวิตามินที่ละลายในไขมัน

หนึ่งในการแพทย์ทางเลือกที่เรียกว่า “วิตามินเฉพาะบุคคล” และ “วิตามินบำบัด” เป็นแนวทางในการตอบสนองความต้องการวิตามินและแร่ธาตุเพื่อสุขภาพที่ดีของแต่ละบุคคล ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และส่งเสริมสุขภาพที่สมบูรณ์ (Optimal health) งานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่มีระดับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายต่ำกว่าค่าปกติของการมีสุขภาพที่ดี ดังนั้น การเสริมวิตามินจึงได้รับการสนับสนุนเพื่อเป็นแนวทางการแก้ปัญหา และจะเป็นประโยชน์มากกว่าหากการแก้ปัญหานั้นสามารถทำได้ตรงจุดตามความต้องการเฉพาะบุคคล

วิตามินเฉพาะบุคคล (Personalized Vitamin)

คือ อาหารเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่ถูกกำหนดขนาดและสัดส่วนให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะบุคคล จากการตรวจเลือดวิเคราะห์ระดับวิตามินและแร่ธาตุที่อยู่ในเลือด ร่วมกับการซักประวัติ โรคประจำตัว พฤติกรรมการใช้ชีวิต และปัจจัยสิ่งแวดล้อม เพื่อประเมินปริมาณวิตามินและออกแบบให้ตรงตามความต้องการอย่างเหมาะสม มักทำการติดตามทุก ๆ 6-12 เดือน เพื่อปรับสูตรให้สอดคล้องอยู่สม่ำเสมอ

Personalized Vitamin มีสูตรที่หลากหลายขึ้นอยู่กับความต้องการในการดูแลป้องกัน และปรับสูตรให้สอดคล้องกับร่างกายของแต่ละคน อาทิเช่น

    • สูตรดูแลระบบภูมิคุ้มกัน
    • สูตรดีท็อกซ์ของเสียออกจากร่างกาย
    • สูตรดูแลสุขภาพผิวพรรณ และ
    • สูตรฟื้นฟูสุขภาพจากความอ่อนเพลีย

สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับเม็ดเลือดก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน เช่น สูตรสำหรับดูแลโรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง และโรคภูมิแพ้ เป็นต้น

วิตามินบำบัด (Vitamin Therapy)

วิตามินบำบัด หรือ IV therapy หรือที่รู้จักแพร่หลายอย่าง Vitamin drip คือ การให้วิตามินและแร่ธาตุผ่านหลอดเลือดดำ (เหมือนการให้น้ำเกลือ) เป็นการให้วิตามินที่มีความเข้มข้นสูงเข้าเส้นเลือดโดยตรง ไม่ผ่านกระบวนการย่อยและการดูดซึม ทำให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ไวกว่าการรับประทาน มีสูตรการดัดแปลงที่หลากหลายขึ้นอยู่กับความต้องการของร่างกาย มักไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย หรือมีผลข้างเคียงน้อย เนื่องจากใช้ส่วนผสมของวิตามินกลุ่มที่ละลายน้ำเป็นหลัก สูตรวิตามินต่าง ๆ เหล่านี้ดัดแปลงจาก “Myers’ Cocktail” ของ John Myers ที่ใช้สูตรวิตามินและแร่ธาตุทางหลอดเลือดดำเพื่อรักษาผู้ป่วยภาวะอ่อนเพลียและติดเชื้อเฉียบพลัน ประกอบไปด้วย วิตามิน C วิตามิน B complex แคลเซียม และแมกนีเซียม ทำการละลายในน้ำเกลือ ซึ่งมีผลการศึกษาที่มีประสิทธิภาพดีต่อผู้ป่วยหอบหืดเฉียบพลัน ไมเกรน อ่อนเพลีย ภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ภาวะกล้ามเนื้อหดตัวเฉียบพลัน กลุ่มอาการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ไซนัสอักเสบเรื้อรัง โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคอื่น ๆ ได้อย่างกว้างขวาง

ปัจจุบัน Myers’ Cocktail เป็นสารน้ำที่ประกอบไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายชนิด มีการดัดแปลงสูตรที่หลากหลายขึ้นอยู่กับสภาวะของผู้ป่วยและวัตถุประสงค์ของการักษา เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ทางเลือก มีประสิทธิภาพในการรักษา มีความปลอดภัย และมีผลข้างเคียงน้อย

กลุ่มเป้าหมายและข้อห้ามสำหรับการทำวิตามินเฉพาะบุคคลและวิตามินบำบัด

กลุ่มเป้าหมาย

    • ผู้ที่มีภาวะขาดวิตามิน เกลือแร่ และสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
    • ผู้ที่ต้องการเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย
    • ผู้ที่ได้รับสารอาหารไม่ครบตามความจำเป็นของร่างกาย
    • ผู้สูงอายุ และอื่น ๆ ตามที่แพทย์เห็นสมควรว่าจะต้องได้รับการรักษา

ผู้ที่ควรระวังและข้อห้าม

    • หญิงตั้งครรภ์ หรือหญิงให้นมบุตร
    • ผู้ที่มีประวัติการแพ้ เช่น แพ้ยา แพ้วิตามิน หรืออื่น ๆ
    • ภาวะไตเสื่อมหรือไตวายเรื้อรัง
    • เป็นโรคพร่องเอ็นไซม์ GP6D
    • ผู้ที่รับประทานยาต้านเกล็ดเลือด
    • ผู้ที่อยู่ในช่วงอดอาหารหรือควบคุมน้ำหนัก

หลักการทำวิตามินวิตามินบำบัด (IV drip) จะใช้ส่วนผสมหลักจากวิตามินกลุ่มละลายน้ำในปริมาณที่สูงเพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบต่าง ๆ ในช่วงขณะหนึ่ง เช่น วิตามิน C และ B ที่มีบทบาทเป็นโคเอนไซม์ และมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดภาวะเครียดออกซิเดชันของร่างกาย สนับสนุนการทำงานของเซลล์ให้เป็นปกติ ปริมาณวิตามิน C และ B ที่เกินกว่าความต้องการของร่างกายหรือระดับความเข้มข้นในเลือดถึงจุดอิ่มตัว จะถูกขับออกทางปัสสาวะ และส่วนผสมของวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ ที่ไม่สามารถละลายน้ำได้จะใช้ในปริมาณที่สูงกว่าค่า RDA (Recommended Daily Allowance) ขึ้นอยู่กับความต้องการของร่างกาย อย่างไรก็ตาม ไม่เกินกว่าค่า UL (Tolerable Upper Intake Levels) เนื่องจากจะมีการสะสมในร่างกายและเป็นพิษได้ เว้นแต่ปริมาณที่ใช้สำหรับการรักษาโรคที่เกิดจากภาวะการขาดวิตามินและสารอาหาร อาจใช้ในปริมาณที่สูงกว่าค่า UL หรือ ไม่เกินกว่า ช่วงของค่าความเข้มข้นของวิตามินและแร่ธาตุในช่วงที่ออกฤทธิ์ได้ดี (Therapeutic window) ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

สังเกตด้วยว่า IV drip เป็นการให้วิตามินความเข้มข้นสูงที่เจือจางในน้ำเกลือก่อนให้ผ่านหลอดเลือดดำ เนื่องจากการให้วิตามินที่มีความเข้มข้นสูงอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดอันตรายได้ ผลลัพธ์ที่เห็นได้นั้นควรได้รับการบำบัดอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 4-5 ครั้ง ระยะห่างแต่ละครั้งประมาณ 1 สัปดาห์ ร่วมกับการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอย่างสม่ำเสมอในปริมาณที่เพียงพอเพื่อสร้างความสมดุลสารอาหารระยะยาว

โดยทั่วไปแล้ว วิตามินและแร่ธาตุพบได้ในอาหารจากธรรมชาติทั่วไป โดยเฉพาะในผักและผลไม้ การรับประทานผักและผลไม้วันละ 400 กรัม (หรือ 5 ฝ่ามือ) ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) เพียงพอต่อความต้องการวิตามินและแร่ธาตุสำหรับผู้ที่มีสุขภาพดี เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากการรับประทาน เว้นแต่ Vitamin D ที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เมื่อได้รับแสงแดด และ Vitamin K สังเคราะห์ได้จากจุลินทรีย์ในลำไส้ การรับประทานวิตามินและแร่ธาตุตามค่าแนะนำ RDA นั้นก็เพียงพอในการป้องกันโรคที่เกิดจากการขาดสารอาหาร อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงของปัจจุบันนั้น พฤติกรรมการใช้ชีวิตและหลากหลายปัจจัยส่งผลต่อระดับความต้องการที่เปลี่ยนไป ดังนั้น การได้รับวิตามินและสารอาหารที่สูงกว่าค่า RDA นั้นสามารถเข้าใกล้ Optimal health ได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ควรเกินกว่าปริมาณสูงสุดที่ปริโภคได้ต่อวัน (UL) โดยเฉพาะกลุ่มวิตามินที่ละลายในไขมัน

โดยสรุป Personalized vitamin นั้นมีประโยชน์ต่อความต้องการด้านสุขภาพที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล และยังเป็นประโยชน์ต่อการสร้างสมดุลทางโภชนาการ เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เติมเต็มความสมบูรณ์ของร่างกายได้อย่างถูกต้องและตรงจุด ทั้งนี้ ไม่มีความจำเป็นสำหรับทุกคน แต่สามารถตอบโจทย์และเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพที่ได้รับสารอาหารจากการบริโภคไม่เพียงพอหลายชนิด ในขณะเดียวกันควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสู่สุขภาวะที่ดี เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกใช้บริการที่มีมาตรฐานและอยู่ภายใต้การดูของแพทย์ และการบำบัดด้วยวิตามินอาจเป็นไปได้ที่จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงช้า หากไม่มีพฤติกรรมเพื่อสุขภาวะที่ดีควบคู่ไปด้วย