Genes and VO2 Max

ยีนเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความอึดของร่างกาย (VO2 Max)

กรรมพันธุ์เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่า VO2 Max ของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นเหตุผลว่า ทำไมบางคน จึงมีค่า VO2 Max สูง หรือร่างกายมีความอึดมากกว่า ออกกำลังกายได้นานกว่า คนทั่วไปเมื่อออกกำลังกายอย่างเพียงพอ สามารถเพิ่มค่า VO2 Max ได้ 15-20% ขณะที่บางคน ไม่สามารถเพิ่มค่า VO2 Max ได้ถึงแม้ว่าจะออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่ง มีค่า VO2 Max ลดลง หลังจากการออกกำลังกาย ความสำคัญของ VO2 Max ไม่เพียงแต่ใช้บ่งชี้ถึงความอึดของร่างกายเท่านั้น ยังสามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคมะเร็ง ยกตัวอย่างเช่น จากงานวิจัยพบว่า การเพิ่มขึ้นของ VO2 Max เพียง 1 ml/kg/min สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้ 3.2%

ในขณะที่เราหายใจเข้าจะดึงออกซิเจนเข้าสู่กระแสเลือด หัวใจจะทำหน้าที่สูบฉีดเลือดที่มีออกซิเจนไปยังส่วนต่าง ๆ ในร่างกายและกล้ามเนื้อ และกระตุ้นให้เกิดปฏิกริยาเคมีเพื่อสร้างพลังงาน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ออกซิเจนที่อยู่ในเลือดจะถูกใช้ในกระบวนการย่อยแป้ง ไขมัน และโปรตีน เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน ขณะที่เราออกกำลังกาย ร่างกายจะต้องการพลังงานมากกว่าปกติ ส่งผลให้เราหายใจลึกขึ้น เร็วขึ้น และหายใจถี่ขึ้น ซึ่งทำให้หัวใจและปอดทำงานมากขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดที่มีออกซิเจนไปยังส่วนต่าง ๆ ในร่างกายเพื่อสร้างพลังงาน

ค่า VO2 Max (Maximal Oxygen Consumption) คือ อัตราการใช้ออกซิเจนสูงสุดของร่างกายในขณะออกกำลังกาย มีหน่วยเป็นมิลลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมในเวลา 1 นาที (ml/kg/min) กล่าวคือ ผู้ที่มีค่า VO2 Max ต่ำ ร่างกายจะมีความสามารถนำออกซิเจนไปใช้ได้น้อย ส่งผลให้เกิดการสะสมของของเสีย (กรดแลกติก) ในกระแสเลือด ทำให้กล้ามเนื้อมีอาการปวดเมื่อยและมีความเหนื่อยล้ามากกว่า ผู้ที่มีค่า VO2 Max สูง

ค่า VO2 Max จะขึ้นกับเพศ อายุ (น้ำหนักตัวและส่วนสูง BMI) จำนวนเม็ดเลือดแดง ประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อ สภาพของหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงกรรมพันธุ์ (มีผลประมาณ 50%) ซึ่งมียีนในร่างกายที่ส่งผลต่อค่า VO2 Max อาทิเช่น ACE, PGC1A, CKM, AMPD1, AKT1, HIF1A, VEGF และ ADRB2 โดยที่ ยีนเหล่านี้ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด การกำจัดของเสีย (แลคเตท) ในกระแสเลือด (Lactase clearance) และควบคุมการทำงานของไมโครคอนเดรีย ซึ่งทำหน้าที่ในการเผาผลาญอาหารเพื่อเป็นพลังงาน รวมทั้งกลไกทางขีวภาพอื่น ๆ ในร่างกาย จากข้อมูลทางสถิติ คนทั่วไปจะมีค่า VO2 Max เฉลี่ยอยู่ที่ 35 ml/kg/min

การเพิ่ม VO2 Max

สำหรับผู้ที่มีค่า VO2 Max ต่ำ การออกกำลังกายควรเน้นกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกาย รวมทั้งการออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิค (Anaerobic) คือ การออกกำลังกายแบบไม่ใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญพลังงาน อาทิเช่น การเล่นเวท และการเล่นโยคะ ขณะที่ผู้ที่มีค่า VO2 Max สูง อาจจะเน้นการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นเป็นบางช่วงจังหวะ (High-Intensity Interval Training: HIIT) อาทิเช่น การวิ่งและหยุดพักตามช่วงเวลา ในกรณีผู้ที่มีค่า VO2 Max ในระดับปานกลางอาจจะใช้การผสมผสานระหว่างทั้งสองแบบ ยกตัวอย่างเช่น การเดินสลับการเดินเร็ว หรือวิ่ง Jogging เป็นต้น

VO2 Max กับภาวะสุขภาพ

นอกจากใช้บ่งชี้ความอึดของร่างกายแล้ว VO2 Max ยังถูกใช้ในการบ่งชี้ภาวะสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด (Cardiac health) จากงานวิจัยพบว่า การเพิ่มขึ้นของค่า VO2 Max ของร่างกาย (จากระดับปกติของแต่ละบุคคล ในแต่ละช่วงวัย) จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า VO2 Max ยังมีความสัมพันธ์กับความสามารถของหัวใจในการกลับสู่อัตราปกติหลังจากการออกกำลังกายภายในระยะเวลาที่กำหนด (Heart Rate Recovery: HRR) ยกตัวอย่างเช่น หลังหยุดออกกำลังกาย 5 นาที อัตราการเต้นของหัวใจ ควรมีค่าไม่เกิน 120 bpm ยิ่งอัตราการเต้นของหัวใจกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้เร็วหลังจากการออกกำลังกายบ่งชี้ถึงสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือดที่ดี

อาหารที่ช่วยเพิ่ม VO2 Max

อาหารที่จะช่วยเพิ่ม VO2 Max ได้แก่ อาหารที่อุดมไปด้วยไนเตรท (Healthy nitric oxide) ที่ช่วยการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ อาทิเช่น บีทรูท ผักขม ร็อกเก็ต ผักกาดหอม เซเลอรี่ และแครอท รวมทั้ง กาเฟอีน (ชา กาแฟ) คาร์นิทีน และโคลีน (อาทิเช่น เนื้อแดง ตับ ไข่ นม ปลา ถั่ว) ที่จะช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ร่างกายยังต้องการค่าความเป็นกรดด่าง pH อยู่ในระดับ 7.4 ดังนั้นกลุ่มอาหารอัลคาไลน์ที่มีความเป็นกรดด่างเป็นกลาง อาทิเช่น ผักใบเขียว ดอกกะหล่ำ บร็อกโคลี่ หัวหอม ข้าวกล้อง เนื้อไก่ ถั่วประเภทต่าง ๆ ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่ม VO2 Max

สังเกตด้วยว่า การออกกำลังกายเป็นสาเหตุให้ระดับกรดแลคติกในกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ร่างกายจึงต้องการพักผ่อนและการขับถ่ายของเสียที่เพียงพอ รวมทั้งสารอาหารที่มีคุณภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะความเป็นกรดในร่างกาย นอกจากนี้ ค่า VO2 Max ส่วนหนึ่งมาจากความสามารถของปอดในการรับออกซิเจน และความสามารถของหัวใจและหลอดเลือดในการสูบฉีดเลือดที่มีออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อ และอีกส่วนหนึ่งจะมาจากประสิทธิภาพของยีนในกล้ามเนื้อ (ที่มีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล) ที่มีการดึงเอาออกซิเจนมาใช้เป็นพลังงานในการเคลื่อนไหว ซึ่งมีความสำคัญต่อการมีสุขภาพดีและระดับความฟิตของร่างกาย (Fitness level)

ที่มารูป : groupon

Lactose Intolerance

บางคนดื่มนมแล้วอาจมีอาการท้องเสีย มีลมในท้อง ปวดบริเวณช่องท้อง ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ซึ่งอาการต่าง ๆ เหล่านี้ อาจจะมีสาเหตุมาจากร่างกายที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสที่อยู่ในนม รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนมได้

น้ำตาลแลคโตส ช่วยร่างกายในการดูดซึมแคลเซียมในนม ซึ่งส่งเสริมให้กระดูกและฟันมีสุขภาพดี นอกจากนี้ แลคโตสยังมีน้ำตาลกาแล็กโทส (Galactose) หรือเรียกว่า น้ำตาลสมอง เป็นองค์ประกอบ มีส่วนช่วยในการทำงานของสมองและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

ปัญหาในการเผาผลาญน้ำตาลในนม หรือแลคโตสทำให้เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ซึ่งมาจาก 2 สาเหตุหลัก สาเหตุแรกเกิดจากยีน LCT ไม่สามารถสร้างเอ็นไซม์ Lactase (หรือสร้างได้น้อย) สำหรับใช้ในการย่อยน้ำตาลแลคโตสที่อยู่ในนม และ/หรือจาก ยีน MCM6 ที่ควบคุมการทำงานของยีน LCT อีกต่อหนึ่ง มีประสิทธิภาพลดลง จากข้อมูลมนุษยพันธุศาสตร์ คนเอเชียตะวันออก (East Asia) ร้อยละ 70 ที่มีการกลายพันธุ์ของยีนดังกล่าวที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ชาวตะวันตก เพียงร้อยละ 10-20 ที่พบสภาวะไม่ทนน้ำตาลแลคโตส)

สาเหตุที่ 2 ของสภาวะไม่ทนน้ำตาลแลคโตส เกิดจากความผิดปกติของลำไส้ การบาดเจ็บ หรือการเจ็บป่วยทำให้สูญเสียความสามารถในการเผาผลาญแลคโตสชั่วคราว โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็ก สังเกตด้วยว่า

ผู้ที่แพ้กลูเตน (Celiac Disease) โดยส่วนใหญ่จะมีสภาวะไม่ทนน้ำตาลแลคโตสร่วมด้วยเช่นกัน และสภาวะไม่ทนน้ำตาลแลตโตสจะแตกต่างจากอาการแพ้นม ที่เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่สามารถต่อต้านโปรตีนในนม และอาจจะเกิดอาการแพ้ที่รุนแรงกว่า ในกรณีสภาวะไม่ทนน้ำตาลแลตโตส

นอกจากนี้ ภาวะการไม่ทนน้ำตาลแลตโตส อาจเกิดขึ้นหลังจากผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติหรืออาหารเจ ในช่วงระเวลาหนึ่ง และเปลี่ยนกลับมารับประทานอาหารปกติ เนื่องจากยีน LCT ที่สร้างเอ็นไซม์ในการย่อยน้ำตาลแลตโตสอาจจะหยุดทำงานชั่วคราว ในช่วงที่ร่างกายไม่จำเป็นต้องใช้งาน นอกจากนี้ แบคทีเรียในลำไส้ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตส นมและผลิตภัณฑ์จากนมที่รับประทานเข้าไปจะมีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของแบคทีเรียเหล่านี้ นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมบางคนเมื่อตรวจพันธุกรรมแล้วมีภาวะการไม่ทนน้ำตาลแลคโตส แต่ยังสามารถดื่มนมได้วันละประมาณ 1-2 แก้ว โดยไม่เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีภาวะการไม่ทนน้ำตาลแลตโตส และมีอาการที่ไม่พึงประสงค์ ควรบริโภคนมและผลิตภัณฑ์จากนมที่ปราศจากแลคโตส (Lactose-free) รวมทั้งเสริมอาหารประเภทอื่นที่อุดมด้วยแคลเซียมและวิตามินดี เพื่อทดแทนการดื่มนม

ที่มารูป : LiverDoctor

Vitamin C Deficiency

การขาดการเอาใจใส่ต่อสุขภาพ ส่งผลต่อภาวะการขาดวิตามินซี

วิตามินซี (Vitamin C) เป็นหนึ่งในวิตามินที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกายมากที่สุด ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับผ่านทางอาหารหรืออาหารเสริมเท่านั้น ภาวะการขาดวิตามินซีพบได้น้อย แต่อาจเกิดขึ้นได้โดยขาดการเอาใจใส่ต่อสุขภาพ อาทิเช่น

    • การขาดภาวะโภชนาการที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไม่ได้รับประทานผักและผลไม้เป็นประจำทุกวัน นอกจากนี้ สังเกตด้วยว่า ภาวะการขาดวิตามินซี อาจจะแปรผันตามฤดูกาล เช่น ในช่วงฤดูหนาว ร่างกายจะมีระดับวิตามินซี สูงกว่าฤดูร้อน เนื่องจากในฤดูหนาว จะมีผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซีหลากหลายชนิดให้รับประทาน เช่น ฝรั่ง ส้ม สตรอว์เบอรี่ เลมอน เป็นต้น
    • วิธีการปรุงอาหารที่ไม่ถูกต้อง (Over-cooking) เนื่องจากวิตามินซีถูกทำลายได้โดยง่ายเมื่อได้รับความร้อน ยกตัวอย่างเช่น การประกอบอาหารด้วยความร้อน เป็นระยะเวลา 30 นาที จะทำให้สูญเสียวิตามินซีมากถึง 80% นอกจากนี้ วิตามินซี ยังมีคุณสมบัติละลายน้ำ การใช้น้ำในการหุงต้ม หรือลวก จะทำให้วิตามินซีละลายออกมาในน้ำ เพิ่มการสูญเสียมากขึ้น
    • คนที่สูบบุหรี่ หรือผู้อยู่รอบข้าง มีความต้องการวิตามินซีมากกว่าปกติ เพื่อใช้ในการซ่อมแซมเซลล์ที่ได้รับความเสียหายจากควันบุหรี่ รวมทั้งผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับควันไฟ
    • ปัญหาสุขภาพ อาทิเช่น โรคไต มะเร็ง โรคผอมแห้ง ส่งผลให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีจากอาหารได้ลดลง
    • ปัจจัยทางพันธุกรรม โดยมียีน SLC23A1 และ SLC23A2 ที่ทำหน้าที่ควบคุมการดูดซึมวิตามินซี ผิดปกติ หรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ วิตามินซีที่ได้รับจากอาหารหรืออาหารเสริมจะไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกาย และถูกขับออกทางปัสสาวะ
    • วิตามินซี ไม่ได้ถูกจัดเก็บในร่างกายได้เป็นเวลานาน ดังนั้น จึงควรรับประทานผักและผลไม้ เป็นประจำทุกวัน

ผู้ที่ขาดวิตามินซีจะมีระดับวิตามินซีในพลาสมาหรือซีรัม น้อยกว่า 2 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร และมีลักษณะที่สังเกตได้เด่นชัดคือ มีอาการเลือดออกตามไรฟัน รวมทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเกาต์ และมะเร็งกะเพาะอาหาร

ยังเป็นข้อโต้แย้งถึงประโยชน์ของวิตามินซีในการรักษาไข้หวัด อย่างไรก็ตาม งานวิจัยจำนวนมากได้แสดงให้เห็นว่า วิตามินซีไม่ได้ช่วยรักษาโรคหวัด แต่ถ้าร่างกายได้รับวิตามินซีเป็นประจำสม่ำเสมอทุกวัน จะช่วยป้องกันและช่วยให้โรคหวัดมีอาการน้อยลง รวมทั้งหายได้เร็วขึ้น ประโยชน์ของวิตามินซี สามารถสรุปได้ ดังนี้

    • ช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน
    • ช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ ช่วยสมานแผน
    • ช่วยสังเคราะห์คอลลาเจน ทำให้ผิวสวยสดใส สุขภาพดี
    • ช่วยป้องกันและลดอาการไข้หวัด เมื่อได้รับวิตามินซีอย่างสม่ำเสมอทุกวัน
    • ช่วยลดการติดเชื้อ สร้างภูมิคุ้มกัน
    • ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในระดับรุนแรง
    • ช่วยสร้างฮอร์โมนที่สำคัญต่อสมอง
    • ช่วยดูดซึมธาตุเหล็กและทองแดง

คำแนะนำทั่วไป ชายและหญิงวัยเจริญพันธุ์ควรได้รับวิตามินซีในปริมาณ 90 และ 75 มิลลิกรัมต่อวัน และคุณแม่ตั้งครรภ์และให้นมบุตรควรได้รับอย่างน้อยวันละ 85 และ 120 มิลลิกรัม รวมทั้งผู้ที่สูบบุหรี่ ควรได้รับเพิ่มขึ้นจากปกติ 35 มิลลิกรัมต่อวัน สังเกตด้วยว่า การได้รับวิตามินซีที่มากเกินไป (ในปริมาณไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน) ยังไม่มีรายงานว่า ส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยร่างกายมีกลไกการขับวิตามินซีส่วนเกินออกทางปัสสาวะ อย่างไรก็ตาม การได้รับวิตามินซีในปริมาณที่มากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อประสิทธิภาพการทำงานของไต อาหารที่มีอุดมด้วยวิตามินซี ยกตัวอย่างเช่น ในปริมาณ 100 กรัม ฝรั่ง จะมีวิตามินซี 230 มิลลิกรัม พริกหวาน (200) คะน้า (90) กีวี (75) ส้ม (60) บร็อกโคลี่ (60) มะละกอ (60) สตรอว์เบอรี่ (60) สับปะรด (50) เลมอน (45) มะนาว (30) แก้วมังกร (20) และแครอท (6) เป็นต้น

ที่มารูป : Healthline

Caffeine Sensitivity

กาแฟ – สารต้านอนุมูลอิสระและยีน CYP1A2 ที่ส่งผลต่อร่างกาย

ยังเป็นข้อโต้แย้งถึงประโยชน์ของการดื่มกาแฟที่ส่งผลต่อการมีสุขภาพดี ช่วยเพิ่มพลัง ความกะปรี้กระเปร่า และช่วยจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน ขณะที่หลายคนมองว่าเป็นสิ่งเสพติดและเป็นโทษต่อร่างกาย

ผลงานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า กาเฟอีน (Caffeine) ในกาแฟ นั้นเป็นประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน โรคตับ มะเร็งบางประเภท และอัลไซเมอร์ ทั้งนี้ เนื่องจากกาเฟอีนนั้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ และกาแฟนั้นเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ดังนั้น ผู้คนส่วนใหญ่จึงได้รับสารอนุมูลอิสระจากการดื่มกาแฟในทุก ๆ วัน โดยไม่รู้ตัว

โดยตลอดช่วงเวลาที่เราตื่นนั้น ร่างกายของเราจะค่อย ๆ ผลิตและสะสมอะดีโนซีน (Adenosine) ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเราได้นอนหลับ อะดีโนซีนจะสลายหายไปและทำให้เราสดชื่นหลังจากตื่นขึ้นมา และเมื่อเราดื่มกาแฟ กาเฟอีนจะเข้าไปบล็อกการทำงานของอะดีโนซีน แต่ไม่ได้บล็อกการสะสมของอะดีโนซีน หรือกำจัดอะดีโนซีนออกไป ซึ่งหมายความว่า เมื่อกาเฟอีนที่อยู่ในร่างกายมีเหลืออยู่ปริมาณน้อยหรือมีฤทธิ์อ่อนลง อะดีโนซีนที่สะสมไว้เรื่อย ๆ ก็จะทำให้เราง่วงและอยากจะนอนหลับพักผ่อน

ผลการศึกษาทางด้านโภชนพันธุ์ศาสตร์ พบว่า ยีน CYP1A2 ในโครโมโซมคู่ที่ 15 ส่งผลต่อกลไกการทำงานของกาเฟอีนเมื่อเข้าสู่ร่างกายโดยตรง (Caffeine Sensitivity หรือ Caffeine Intolerance) โดยยีนดังกล่าวจะทำหน้าที่สร้างเอนไซม์ในการย่อย (Metabolize) กาเฟอีน ซึ่งการกลายพันธุ์ของยีน CYP1A2 อาจจะเกิดขึ้นได้ใน 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) การย่อยกาเฟอีนที่เร็วเกินไป (Fast metabolizer) และ 2) การย่อยกาเฟอีนที่ช้าเกินไป (Slow metabolizer) การกลายพันธุ์ของยีนในลักษณะแรก ส่งผลให้ทำไมบางคนดื่มกาแฟแล้วยังรู้สึกง่วงนอน และต้องการกาเฟอีนในปริมาณมากกว่าปกติเพื่อให้เกิด Effect ที่ต้องการ เช่น ดื่มกาแฟ 3-4 แก้วต่อวัน จากข้อมูลมนุษยพันธุศาสตร์ จะมีประชากร ประมาณร้อยละ 10 ที่มีการกลายพันธุ์ของยีนในลักษณะย่อยกาเฟอีนที่เร็วเกินไป (หรือพบได้ 1 ใน 10 คน) ในทางตรงกันข้าม การย่อยกาเฟอีนที่ช้าเกินไป โดยยีนที่สร้างเอนไซม์ย่อยกาเฟอีน ย่อยได้ช้า ทำให้กาเฟอีนสะสมอยู่ในร่างกายนานกว่าปกติ และการที่กาเฟอีนสะสมอยู่ในร่างกายในระยะเวลานาน จะทำให้เกิดอาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว และนอนไม่หลับ รวมทั้งส่งผลทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคความดันโลหิตและโรคหัวใจ

นอกจากนี้ บางคนอาจจะมีอาการแพ้กาเฟอีน (Caffeine Allergy) ซึ่งเป็นกรณีที่พบได้น้อยมาก และมีสาเหตุมาปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่พันธุกรรม (ซึ่งปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด) การแพ้กาเฟอีนเกิดจากการที่ร่างกายมองว่ากาเฟอีนเป็นสารอันตราย ระบบภูมิคุ้มกันจึงพยายามกำจัดกาเฟอีนออกจากร่างกายด้วยการหลั่งสารเคมี (Antibody) ต่าง ๆ เมื่อสารเคมีเพิ่มสูงขึ้นก็จะส่งผลให้เกิดอาการแพ้ เช่น มีผื่นแดงคัน ลมพิษ คัดจมูก น้ำมูกไหล ตาบวมแดง ผิวหนัง คอ ลิ้น และริมฝีปากบวม ในบางกรณี ผู้ที่แพ้กาเฟอีนระดับที่รุนแรง แค่ได้กลิ่นกาแฟก็อาจจะเกิดอาการเวียนหัวหรือปวดหัวได้

ข้อแนะนำสำหรับคนทั่วไปในการดื่มกาแฟ หรือได้รับกาเฟอีน ในปริมาณที่ปลอดภัย ไม่ควรเกิน 400 มิลลิกรัม ต่อวัน (เทียบเท่ากับ การดื่มกาแฟ 4 แก้ว) และผู้ที่มียีนที่ย่อยกาเฟอีนได้ช้า ควรจะหลีกเลี่ยงการบริโภคกาเฟอีน หรือจำกัดการบริโภคให้น้อยกว่า 200 มิลลิกรัม (หรือดื่มไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน) สำหรับผู้ที่แพ้กาเฟอีน ควรงดบริโภคกาเฟอีนทุกรูปแบบ และควรปรึกษาแพทย์

สังเกตด้วยว่า องค์กรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อเราดื่มกาแฟ กาเฟอีนที่อยู่ในร่างกายยังคงออกฤทธิ์และจะมีปริมาณลดลงครึ่งนึงหลังจากที่บริโภคเข้าไปเมื่อเวลาผ่านไป 5 ชั่วโมง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราดื่มกาแฟ 1 แก้ว (100 มิลลิกรัม) หลังจาก 5 ชั่วโมง จะมีปริมาณกาเฟอีนในร่างกายเหลืออยู่ 50 มิลลิกรัม ส่วนที่เหลือครึ่งนึงอาจจะต้องใช้เวลาในการกำจัดออกจากร่างกายมากกว่า 5 ชั่วโมง และสำหรับผู้ที่แพ้กาเฟอีน อาจจะคงมีอาการที่ไม่พึงประสงค์นานอยู่หลายชั่วโมง หรือมากถึง 1- 2 วัน ดังนั้น ข้อแนะนำสำหรับผู้บริโภคทั่วไป ควรจะดื่มกาแฟ รวมทั้งอาหารที่มีกาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ (เช่น ขนมหวาน ไอศกรีม ชาเขียว ช็อกโกแลต เครื่องดื่มโคล่า เครื่องดื่มให้พลังงาน) อย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนเวลาเข้านอน เพื่อให้ร่างกายได้นอนหลับสนิท

ที่มารูป : paramountcoffee

How genes influence iron requirements

ยีนส่งผลต่อความต้องธาตุเหล็กในร่างกายอย่างไร ?

ธาตุเหล็ก (Iron) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่คอยจับกับออกซิเจนและส่งต่อไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งทำหน้าที่ในกระบวนการเมตาโบลิซึมของเซลล์และเป็น Co-factor ของเอนไซม์หลายชนิด เหล็กที่อยู่ในร่างกายจะกระจายอยู่ในหลาย ๆ ส่วน โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในเม็ดเลือดแดง และอยู่ในทรานสเฟอร์ริน (Transferrin) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เก็บธาตุเหล็กในกระแสเลือด ในสภาวะปกติ ร่างกายจะมีปริมาณของธาตุเหล็กที่จับอยู่กับทรานสเฟอร์ริน (Serum Iron) อยู่ระหว่าง 50-150 ug/dL

เมื่อร่างกายขาดธาตุเหล็ก จะส่งผลให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรง ง่วงนอนบ่อย ผิวซีด (เหลือง) เล็บหักง่าย ผมร่วง ปวดศรีษะ หายใจสั้น มีอัตราเต้นของหัวใจไม่ปกติ ทำให้ไม่มีสมาธิในการเรียน/การทำงาน รวมทั้งส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของกล้ามเนื้อและสมองลดลง และทำให้ร่างกายเกิดการติดเชื้อได้ง่าย ในทางตรงกันข้าม ถ้าร่างกายอยู่ในภาวะเหล็กเกินก็จะส่งผลให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายด้วยเช่นกัน เช่น ทำให้เกิดความผิดปกติของสมอง ตับ กล้ามเนื้อ และหัวใจ เกิดอาการข้ออักเสบ หย่อนสมรรถภาพทางเพศ ตับแข็ง เบาหวาน และอาการจะยิ่งแย่ลงเมื่อรับประทานวิตามินซีหรืออาหารที่มีวิตามินซีสูง เนื่องจากวิตามินซีช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารได้ดียิ่งขึ้น

ภาวะการขาดธาตุเหล็ก โดยส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากภาวะโภชนาการ และสามารถรักษาได้โดยง่ายด้วยการรับประทานอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก หรือในรูปแบบอาหารเสริม นอกจากนี้ การขาดธาตุเหล็กอีกสาเหตุหนึ่ง มาจากยีน TF ซึ่งทำหน้าที่สร้างโปรตีนทรานสเฟอร์ริน ทำหน้าที่ขนส่งธาตุเหล็กเข้าสู่เซลล์ตับ ม้าม และไขกระดูก ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ รวมทั้ง ยีน TMPRSS6 ซึ่งเป็นยีนที่สร้างโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเฮปซิดิน (Hepcidin) ซึ่งเป็นเอนไซน์ที่สร้างจากตับ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการดูดซึมธาตุเหล็กในลำไส้ ทำงานผิดปกติ ในกรณีนี้ ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้ แม้ว่าจะได้รับธาตุเหล็กจากอาหาร หรืออาหารเสริมก็ตาม ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยปกติ ชายและหญิงวัยเจริญพันธุ์ควรได้รับธาตุเหล็ก 10  และ 15 มิลลิกรัมต่อวัน และคุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับอย่างน้อยวันละ 27 มิลลิกรัม อาหารที่มีธาตุเหล็กมาก เช่น เลือด เครื่องในสัตว์ ตับหมู ไก่ ปลาแซลมอล รวมทั้งผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ ควรได้รับธาตุเหล็กในปริมาณ 1.8 เท่าของคนปกติ (เนื่องจากร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารพวก พืชผัก ข้าว ถั่วเมล็ดแห้ง ได้น้อย เพียง 3-5% เมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ ที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ 10-15%) สังเกตด้วยว่า อาหารบางประเภทอาจจะขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กของร่างกาย เช่น ผลิตภัณฑ์นม ไข่ ชา กาแฟ ถั่ว รวมทั้งยาบางประเภท ในทางตรงข้าม อาหารที่ช่วยเสริมการดูดซึมธาตุเหล็ก ได้แก่ อาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น ฝรั่ง ส้ม มะนาว กีวี และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ซึ่งควรรับประทานอาหารเหล่านี้ระหว่างรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง

ที่มารูป : healthydirections

Folate deficiency and MTHFR gene

โฟเลต เหมือนหรือต่างกับ กรดโฟลิค และความเสี่ยงจากปัจจัยทางพันธุกรรม

โฟเลต (Folate) มาจากคำในภาษาละติน “Folium” แปลว่า ใบไม้ โฟเลตเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ สลายตัวหรือสูญเสียคุณประโยชน์ได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน โฟเลต (วิตามินบี 9) และวิตามินบี 12 มีความสัมพันธ์กันอย่างมากในการสร้างเม็ดเลือดแดง ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกเหรอ และช่วยในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ โฟเลตมีความสำคัญอย่างมากในกระบวนการแบ่งเซลล์ เช่น การแบ่งเซลล์เพื่อการเจริญเติบโตของทารกที่อยู่ในครรภ์ ขณะที่วิตามินบี 12 มีความสำคัญต่อการพัฒนาและการทำงานของระบบประสาทและสมอง

การขาดโฟเลต จะส่งผลต่อสภาวะการมีบุตรยากของสตรี รวมถึงความไม่สมบูรณ์ของทารกในครรภ์ ทารกมีภาวะหลอดประสาทไม่ปิด เกิดความผิดปกติในการเจริญของระบบประสาท ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคออทิสติก ในผู้ใหญ่การขาดโฟเลต จะส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้า ความผิดปกติทางอารมณ์ โรคจิตเภท ภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือด มีแนวโน้มในการเกิดโรคหัวใจ โรคต้อหิน และโรคมะเร็งลำไส้

สาเหตุหนึ่งของการขาดโฟเลตมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม โดยที่ยีน MTHFR ที่สร้างเอนไซม์ Methylenetetrahydrofolate Reductase ซึ่งทำหน้าที่แปลงกรดอะมิโนโฮโมซีสเตอีน (Homocysteine) ไปเป็นเมไทโอนีน (Methionine) เพื่อให้ร่างกายดูดซึมไปใช้งาน ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้น คนที่มียีน MTHFR ทำงานผิดปกติ จะทำให้มีการสะสมของระดับโฮโมซีสเตอีนในเลือดสูง และส่งผลกระทบต่อภาวะสุขภาพโดยรวม โดยทั่วไป เราจะไม่สามารถทราบได้ว่ามียีน MTHFR ทำงานผิดปกติหรือไม่ นอกจากจะมีอาการแสดงออกถึงความผิดปกติทางร่างกายจากการขาดโฟเลตในระดับที่รุนแรง หรือใช้การตรวจโภชนพันธุศาสตร์ (Nutrition DNA) และการขาดโฟเลตมักจะมีความสัมพันธ์กับการขาดวิตามินบี 12 ด้วยเช่นกัน

โฟเลต นั้นหมายถึงวิตามินบี 9 ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งรวมถึง กรดโฟลิค (Folic acid) โฟเลต สามารถพบได้ตามธรรมชาติในอาหารทั้งผักผลไม้และเนื้อสัตว์ ในขณะที่กรดโฟลิค เป็นวิตามินที่ถูกสังเคราะห์ขึ้น มีโครงสร้างทางเคมีคล้ายคลึงและมีความสำคัญต่อร่างกายเหมือนกับโฟเลต บริษัทผู้ผลิตอาหารส่วนใหญ่มักจะเพิ่มกรดโฟลิกลงไปในอาหาร เช่น ขนมปัง เส้นพาสต้า อาหารเช้าซีเรียล เพื่อให้ร่างกายได้รับโฟเลตในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน อย่างไรก็ตาม ข้อควรสังเกตความแตกต่างกันระหว่างโฟเลตและกรดโฟลิค คือ กรดโฟลิค สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปไปใช้ประโยชน์ได้เร็วและง่ายกว่า ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ขาดหรือผู้ที่ต้องการโฟเลตสูงในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น คุณแม่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร ในทางตรงข้าม การได้รับวิตามินบี 9 สังเคราะห์ ในรูป กรดโฟลิค อาจจะเกิดผลข้างเคียง หรือเกิดภาวะเป็นพิษเนื่องจากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งจะแตกต่างกับ กรณีของโฟเลตที่อยู่ในอาหารตามธรรมชาติ จะผ่านกระบวนการย่อยและเข้าสู่ระบบร่างกาย และมีกลไกการขับปริมาณโฟเลตที่เกินความจำเป็นออกทางปัสสาวะ

ปริมาณโฟเลตที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับเพศชายและหญิงที่มีอายุมากกว่า 19 ปี เท่ากับ 400 ไมโครกรัม (mcg) คุณแม่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร ควรได้รับโฟเลตในปริมาณ 600 และ 500 mcg ตามลำดับ โฟเลตพบมากในพืชตระกูลถั่ว ผักใบเขียว และผลไม้บางชนิด ยกตัวอย่างเช่น ในปริมาณ 100 กรัม ถั่วแระญี่ปุ่น จะมีโฟเลต 300 mcg ถั่วดำ (230) ถั่วเขียว (186) ถั่วลิสง (170)  ผักโขม (160) หน่อไม้ฝรั่ง (150) ผักกาดหอม (140) บร็อคโคลี่ (100) กะหล่ำปลี (90) คะน้า (80) ทุเรียน (160) รวมทั้ง ไข่แดง (150) เครื่องในสัตว์ ตับหมู (140) เนื้อไก่ (70) นมสด (10)

สังเกตด้วยว่า งานวิจัยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้ออกมาโต้แย้งและยังไม่ได้ข้อสรุปกับผลการศึกษาในอดีตว่า แม้ว่าจะพบตำแหน่งการกลายพันธุ์ในยีน MTHFR แต่การทำงานของยีนยังคงสามารถผลิตเอนไซม์ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ที่จะรักษาระดับของโฮโมซีสเตอีนในเลือดให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม ซึ่งไม่ส่งผลต่อภาวะสุขภาพใด ๆ ดังนั้น การตรวจพบตำแหน่งกลายพันธุ์ในยีน MTHFR อาจจะใช้แค่เป็นเครื่องมือคัดกรองสุขภาพ Pre-screening  เบื้องต้น เท่านั้น ผู้ที่ตรวจพบยีน MTHFR ทำงานผิดปกติ และยังคงมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ จึงไม่ควรต้องวิตกกังวลใด ๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่พบตำแหน่งกลายพันธุ์ของยีน และสังเกตว่าร่างกายมีภาวะผิดปกติในลักษณะการขาดโฟเลต ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจระดับโฟเลตจากโฮโมซีสเตอีนในเลือด ในการหาสาเหตุและแนวทางการรักษา ต่อไป

ที่มารูป : gutperformance

Beta-carotene and vitamin A deficiency

ปัจจัยทางพันธุกรรมอาจส่งผลให้ร่างกายเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนเป็นวิตามินเอได้ลดลง มากถึงร้อยละ 70

เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) พบมากในพืชโดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีสีเหลือง-ส้ม-แดง เช่น แครอท มะเขือเทศ มะละกอ ฟักทอง เมื่อได้รับอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน ร่างกายจะเปลี่ยนเบต้าแคโรทีน (Pro-vitamin) ให้เป็นวิตามินเอ หรือเรตินอล เพื่อนำไปใช้งาน

วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นกลุ่มวิตามินที่จำเป็น ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับผ่านทางอาหารหรืออาหารเสริมเท่านั้น วิตามินเอ ละลายได้ในน้ำมัน ต้องอาศัยไขมันในการเปลี่ยนรูปเพื่อให้ผนังลำไส้สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย วิตามินเอเป็นองค์กระกอบสำคัญของโปรตีนที่จุดรับแสงเรตินาในดวงตา ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเยื่อบุตาและกระจกตา ช่วยในการมองเห็น รวมทั้งยังช่วยทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย การขาดวิตามินเอ จะส่งผลให้มีโอกาสในการเกิดอาการตาไม่สู้แสง แสบตา และทำให้น้ำตาไหลได้ง่าย เยื่อบุตาแห้งและอักเสบ อาการโรคตาฟางหรือตาบอดในตอนกลางคืน โรคโลหิตจาง มีสิวเห่อขึ้นเต็มหน้า และผิวหนังแห้งหยาบกร้าน

ร่างกายอาจจะได้รับวิตามินเอโดยตรงจากการรับประทานอาหาร อาทิเช่น เครื่องในสัตว์ น้ำมันตับปลา ไข่แดง เนย นม หรือได้รับเบต้าแคโรทีน จากผักผลไม้สีเหลือง-ส้ม-แดง โดยแปลงให้อยู่ในรูปวิตามินเอ สังเกตด้วยว่า ผู้ที่รับประทานมังสวิรัติมาเป็นเวลานาน ผนวกกับมีปัจจัยทางพันธุกรรมที่มียีน BCO1 หรือ BCM01 ผิดปกติ ยีนซึ่งทำหน้าที่ในการผลิตเอนไซม์ Beta-carotene oxygenase ในการแปลงเบต้าแคโรทีนให้เป็นวิตามินเอได้น้อยกว่าคนอื่น มากถึงร้อยละ 70 ซึ่งทำให้ระดับวิตามินเอในร่างกายลดต่ำลงอย่างมาก ขณะที่จะมีเบต้าแคโรทีนสูงกว่าคนอื่น จากข้อมูลมนุษยพันธุศาสตร์ มีผู้ที่มียีน BCO1 หรือ BCM01 ทำงานได้น้อยกว่าปกติประมาณร้อยละ 45 ของประชากร

โดยทั่วไป ปริมาณวิตามินเอที่แนะนำให้บริโภคต่อวันจะอยู่ในช่วงระหว่าง 700 – 900 ไมโครกรัม (mcg) สำหรับเพศหญิงและชายที่มีอายุมากว่า 19 ปี และไม่ควรบริโภคเกิน 3,000 mcg ต่อวัน ยกตัวอย่างปริมาณวิตามินเอในอาหาร เช่น ตับหมู ในปริมาณ 100 กรัม จะมีวิตามินเอ 5,000 mcg น้ำมันตับปลา Cod (1,350 mcg) ไข่แดง (500 mcg) นม (20 mcg) ปลาแซลมอล (15 mcg) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ข้อควรระวัง เนื่องจากวิตามินเอ ละลายในไขมัน การได้รับวิตามินเอจากอาหารหรืออาหารเสริมในปริมาณที่มากเกินไป ร่างกายจะไม่สามารถขับวิตามินเอที่เกินออกทางปัสสาวะได้ วิตามินเอที่เกินจะสะสมในร่างกายทำให้เป็นพิษต่อตับและส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบประสาทและสมอง สตรีมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ถึงความต้องการระดับวิตามินเอที่เหมาะสม เพราะจะส่งผลต่อความสมบูรณ์และพัฒนาการของเด็กในครรภ์

ที่มารูป : wallpaperaccess

Stress – B12 deficiency and weigh gain

ความเครียดส่งผลต่อการขาดวิตามินบี 12 และการเพิ่มของน้ำหนักตัว ?

จากงานวิจัยพบว่า ความเครียด อารมณ์แปรปรวน ปัญหาทางจิต โรคสมองเสื่อม มีความสัมพันธ์ต่อการขาดวิตามินบี 12 และวิตามินบี 9 (โฟเลต) อย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งความสัมพันธ์กับน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น และโรคอ้วน

วิตามินบี 12 หรือโคบาลามิน (Cobalamin) เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายไม่สังเคราะห์ได้เองจึงจำเป็นต้องได้รับผ่านทางอาหารหรืออาหารเสริมเท่านั้น วิตามินบี 12 มีหน้าที่สำคัญในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและสังเคราะห์ดีเอ็นเอ เมตาบอลิซึมของกรดไขมันและกรดอะมิโน ส่งเสริมการทำงานของสมองและเซลล์ประสาท นอกจากนี้ วิตามินบี 12 ยังช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำงานได้อย่างสมดุลและมีประสิทธิภาพ อาทิเช่น

    • กระบวนการเมตาบอลิซึมของโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต และช่วยร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก (Iron)
    • ช่วยสังเคราะห์เมไทโอนีนและโคลีน ช่วยป้องกันการสะสมไขมันในตับ
    • ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารในเด็กที่ขาดวิตามินบี 12
    • ช่วยในการดูดซึมแคโรทีน และเปลี่ยนแคโรทีนเป็นวิตามินเอ
    • ช่วยละลายสารพิษของไซยาไนด์ ที่อาจพบในอาหารและบุหรี่

สาเหตุหลักของการขาดวิตามินบี 12 ได้แก่ ความสามารถในการดูดซึมวิตามินบี 12 ได้ลดลง อาทิเช่น ในกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ ขาดกรดในกระเพาะอาหาร ส่งผลต่อการดูดซึมวิตามินบี 12 คนที่รับประทานมังสวิรัติเป็นเวลานาน (ขาดเนื้อสัตว์ ซึ่งอุดมด้วยวิตามินบี 12) ผู้ที่ดื่มกาแฟและแอลกอฮอล์ในปริมาณมากก็ส่งผลให้การดูดซึมวิตามิน B12 ลดลง นอกจากนี้ โรคเกี่ยวกับลำไส้เล็ก การแพ้กลูเตน (Celiac disease) ตับอ่อนทำงานผิดปกติ แบคทีเรียเจริญผิดในลำไส้เล็ก การรับประทานยารักษาโรคเบาหวานเพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด (Metformin) ยาลดกรดในกระเพาะอาหารบางประเภท ล้วนแล้วส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมวิตามินบี 12 ที่ลดลง และยังรวมถึงปัจจัยทางพันธุกรรมสำหรับผู้ที่มียีน FUT2 MTHFR และ CLYBL ทำงานผิดปกติ ซึ่งสามารถทราบได้จากการตรวจ #โภชนพันธุศาสตร์

ในงานวิจัยที่ผ่านมาไม่นานนี้พบว่า ความเครียดกระตุ้นให้สมองและระบบประสาททำงานมากกว่าปกติ ส่งผลให้ระดับวิตามินในกลุ่มบี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินบี 12 ลดลง นอกจากนี้ เนื่องจากวิตามินบี 12 เป็นตัวช่วยในกระบวนการเมตาบอลิซึมไขมันในร่างกาย การขาดวิตามิน บี 12 จึงมีความสัมพันธ์กับน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นด้วย

โดยปกติ ร่างกายจะได้รับวิตามินบี 12 จากการรับประทานอาหาร Balanced diet ในปริมาณที่เพียงพออยู่แล้ว วิตามินบี 12 พบมากในเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ปริมาณวิตามินบี 12 ในหน่วย ไมโครกรัม (mcg) ต่อ 100 กรัม : หอย (50 – 100) ตับหมู (18) ปลาทูน่า (10) เนื้อแดง (7) ปลาแซลมอน (5) นม (4) และไข่ (1) เป็นต้น ขณะที่ปริมาณที่แนะนำให้บริโภค เพียงแค่ 2.4 mcg ต่อวัน

การขาดวิตามินบี 12 อาจส่งผลให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ความจำไม่ดี ภาวะซึมเศร้า อาการฟุ้งพล่าน หรืออาการโรคจิต รวมทั้ง มีโอกาสในการเกิดโรคทางเลือดและระบบประสาท อาทิเช่น โรคโลหิตจาง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคสมองเสื่อม … จากข่าวในต่างประเทศ มีดาราฮอลลีวูดหลายคนนิยมใช้การฉีดวิตามินบี 12 เข้ากล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มระดับวิตามินบี 12 ในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพื่อให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ลดความตรึงเครียด และช่วยลดน้ำหนัก ซึ่งอาจจะเหมาะกับผู้ที่มีความบกพร่องในการดูดซึมวิตามินบี 12 จากการรับประทานอาหารหรืออาหารเสริม

อย่างไรก็ตาม เป็นข้อสังเกตว่า ปัจจุบัน ยังไม่มีผลงานวิจัยเพียงพอและยังเป็นข้อโต้แย้ง ที่จะสรุปถึงประโยชน์ของวิตามินบี 12 ในการลดความเครียด ช่วยลดน้ำหนัก หรือช่วยบำรุงผิวพรรณ ในกรณีบุคคลนั้น มีวิตามินบี 12 ในร่างกายในระดับที่เพียงพออยู่แล้ว

ที่มารูป : scitechdaily

Vitamin E Deficiency

ภาวะการขาดวิตามินอี พบได้น้อยมากในคนทั่วไปที่มีสุขภาพดี การขาดวิตามินอี มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากปัญหาสุขภาพ อาทิเช่น กล้ามเนื้ออักเสบ การสูญเสียความสามารถของอวัยวะในการเคลื่อนไหว ปัญหาสุขภาพตา ระบบภูมิคุ้มกันต่ำ อาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย รวมทั้งสาเหตุจากพันธุกรรม

ในภาวะโภชนาการทั่วไป ร่างกายจะได้รับวิตามินอี ในปริมาณที่เพียงพออยู่แล้ว วิตามินอีพบมากในน้ำมันพืชชนิดต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ปริมาณวิตามินอี มิลลิกรัม (mg) ต่อ 100 กรัม ของน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน เท่ากับ 48.7 น้ำมันปาล์ม 25.6 และ น้ำมันถั่วเหลือง 10.1 เป็นต้น ในขณะที่ปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน เพียงแค่ 15 mg เท่านั้น ในทางตรงกันข้าม การได้รับวิตามินอีในปริมาณที่มากเกินไป มากกว่า 1,000 mg ต่อวัน จะเกิดความเสี่ยงต่อการมีเลือดออก (Bleeding)

เมื่อร่างกายได้รับสารอาหาร วิตามินอี ซึ่งละลายอยู่ในไขมัน จะถูกซึมที่ลำไส้เล็กและส่งต่อไปยังกระแสเลือด โดยที่ตับจะเป็นอวัยวะที่ดูดซึมและเก็บกักวิตามินอีเพื่อนำไปใช้งานมากที่สุด วิตามินอี ทำหน้าที่หลักเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ป้องกันเซลล์ไม่ให้ถูกทำลาย นอกจากนี้ จากงานวิจัยทางการแพทย์ยังพบว่า วิตามินอี มีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดโรคที่สำคัญ ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็งต่อมลูกหมาก ต้อกระจกตา ภาวะสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่ง และภาวะมีบุตรยากในเพศชาย

ในมุมของ #โภชนพันธุศาสตร์ ระดับของวิตามินอี มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งกลายพันธุ์เฉพาะจุด (SNP) ของยีน CYP4F2, SCARB1 และ APOA5 ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการดูดซึมไขมัน และระดับไขมันและวิตามินอีในเลือด ทำให้เกิดภาวะการขาดวิตามินอี

ในการศึกษาในปัจจุบัน นักวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินอี มีความสัมพันธ์กันอย่างมากกับวิตามินซี วิตามินบี 3 (ไนอะซิน) เซเลเนียม และกลูตาไธโอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างวิตามินอี และวิตามินซี … ดังนั้น เราควรได้รับวิตามินอี พร้อมกับ วิตามินหรือสารอาหารประเภทอื่นในปริมาณที่เหมาะสมพอดี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกาย …. ซึ่งสอดคล้องกับข้อแนะนำล่าสุดของ Dietary Guidelines for Americans 2020 – 2025 ระบุว่า “การรับประทานอาหาร จะได้สารอาหารที่หลากหลาย ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม การเสริมสารอาหารบางประเภทที่ร่างกายต้องการมากขึ้น ควรจะอยู่ในรูปแบบอาหาร (Food) ที่รับประทานเพิ่มเข้าไป และใช้อาหารเสริม (Supplement) ในบางช่วงเวลาที่ต้องการมากเป็นพิเศษ เช่น ช่วงระยะเวลาตั้งครรภ์)

สำหรับวิตามินอีและประโยชน์ต่อผิวพรรณ ในด้านการยับยั้งการเสื่อมสภาพของผิวและช่วยชะลอความแก่ ปัจจุบันยังมีข้อโต้แย้งและยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม วิตามินอีสามารถใช้เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเซลล์ผิวหนังสำหรับคนที่มีผิวแห้งกร้าน ช่วยเป็นเกราะป้องกันแสงแดด ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย ลดริ้วรอย กรณีคนที่มีผิวมันและผิวที่เป็นสิวง่าย การใช้วิตามินอีกับผิวอาจจะไม่จำเป็น หรือเกิดประโยชน์เพียงเล็กน้อย

ที่มารูป : Food and Wine Magazine

Fat Gene

ยีนอ้วน … กรรมพันธุ์อ้วน-ผอม มีอยู่จริงหรือ ?

ทำไมบางคนทานเท่าไรก็ไม่อ้วน บางคนหิวบ่อย บางคนชอบทานแป้ง ชอบขนมหวาน ของทอด อาหารสเค็ม แต่ทำไมคุณทานแค่นิดเดียว น้ำหนักก็ไม่ลดลงซักที เมื่อตัดปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรม Enjoy eating ออกไปแล้ว … หรือว่า คุณจะมียีนอ้วน จริง ๆ

เมื่อมองในมุม #โภชนพันธุศาสตร์ ยีนอ้วน นั้นไม่มีจริง แต่จะมีกลุ่มของยีนบางตัวที่ตอบสนองต่อสารอาหารและอาจส่งผลต่อน้ำหนักตัวโดยตรง อาทิเช่น ความอยากอาหาร การตอบสนองคาร์โบไฮเดรต การตอบสนองต่อไขมันอิ่มตัว รวมทั้ง การรับรสหวาน รสมัน และรสเค็ม

คุณอาจจะมียีนตัวใดตัวหนึ่ง หรือหลาย ๆ ตัวรวมกัน ทำงานได้ไม่ดี หรือทำงานผิดปกติ ยกตัวอย่างเช่น ยีน FTO ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin hormone) ที่หลั่งออกมาจากเซลล์กระเพาะอาหาร จะส่งสัญญาณไปที่สมองเพื่อกระตุ้นความหิวและทำให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร รวมทั้งยีน MC4R ที่ทำหน้าที่ควบคุมความหิวในต่อมใต้สมอง คนที่มียีนดังกล่าวนี้ทำงานผิดปกติ จะทำให้มีความอยากอาหารและรู้สึกหิวมากกว่าคนทั่วไป ส่งผลให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

คนที่มียีน TCF7L2 ที่ตอบสนองต่อคาร์โบไฮเดรตต่ำ จะทำให้ประสิทธิภาพการย่อยคาร์โบไฮเดรตลดลง ส่งผลให้มีโอกาสในการเพิ่มน้ำหนักตัวได้มากกว่าคนอื่น คนที่มียีน APOA2 ที่ตอบสนองต่อไขมันอิ่มตัวสูง การบริโภคไขมันอิ่มตัวจะส่งผลต่อน้ำหนักตัว เพิ่มขึ้นหรือลดลง แปรผันตามปริมาณที่บริโภค ในทางตรงกันข้าม คนที่ตอบสนองต่อไขมันอิ่มตัวต่ำ ไม่ว่าจะควบคุมการบริโภคไขมันอิ่มตัว ไม่เกิน 22 กรัมต่อวัน ก็ยังคงมีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักตัวเท่าเดิม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ลดน้ำหนักตัวลงได้ยากกว่าคนอื่น นอกจากนี้ คนที่มีกลุ่มยีนที่ตอบสนองต่อการรับรสหวาน รสมัน และรสเค็ม ผิดปกติ ก็จะทำให้บริโภคอาหารที่มีรสชาติเหล่านี้มากกว่าคนทั่วไป และอาจส่งผลต่อการเพิ่มน้ำหนักตัวด้วยเช่นกัน

การตรวจว่าคุณมียีนที่ตอบสนองต่อสารอาหารดังที่กล่าวมาข้างต้นผิดปกติหรือไม่ สามารถทำได้ไม่ยาก โดยการทดลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารและสังเกตความสัมพันธ์กับค่าน้ำหนักตัว หรือการตรวจโภชนพันธุศาสตร์ ในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ ข้อแนะนำทั่วไป สำหรับคนที่มีกลุ่มยีนที่ตอบสนองต่อความอยากอาหาร คาร์โบไฮเดรต ไขมัน รวมทั้งการตอบสนองต่อการรับรสหวาน รสมัน และรสเค็ม ผิดปกติ หรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ให้สอดคล้องกับความต้องการสารอาหารและประสิทธิภาพการทำงานของกลุ่มยีนของบุคคลนั้น ๆ อาทิเช่น การหลีกเลี่ยง ลดปริมาณการบริโภค หรือออกกำลังกายเพื่อเพิ่มการเผาผลาญอาหาร และในกรณีคนที่มียีนที่ย่อยคาร์โบไฮเดรตได้ไม่ดี สามารถแก้ไขโดยการกินอาหารให้ช้าลงและเคี้ยวให้ละเอียดมากขึ้น เพื่อเพิ่มระยะเวลาการย่อยคาร์โบไฮเดรต

ที่มารูป : Times of India